นักฆ่าแห่งป่าออ้ย
ถ้าลองมาจัดอันดับโลกว่าฆาตกรที่ฆ่าคนมากที่สุดในโลกคือใคร คนแรกที่จะเอ่ยถึงคงหนีไม่พ้น หลุยส์ อัลเบอร์โต้ การาวิโต้ แน่นอนครับ
เพราะเขามีสถิตฆ่าคนมากที่สุดถึง 3,000 ราย!
หลุยส์ อัลเบอร์โต้ การาวิโต้ (บางชื่อเป็น ลูอิส อัลเฟรโด้ การาวิโต้ ) ถือกำเนิดขึ้นมาในเขตควินดิโอของประเทศโคลัมเบีย เมื่อวันที่ 25 มค. 1957 และเป็นพี่ชายคนโตของน้องๆอีก 6 คน แน่นอนครอบครัวไหนมีลูกมากก็ยิ่งยากจน ชีวิตตอนเด็กเขาต้องทนทุกข์จากการทรมานของบิดาที่ขี้โมโหมาโดยตลอดและมีส่วนสำคัญที่ทำให้จิตใจของเขาปรวนแปรอยู่เสมอ เมื่ออายุ 19 ปี นั้นเองที่หลุยส์ถูกครอบครัวข้างบ้านทำการข่มขืนอย่างทารุณ(เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศแถบเมริกาใต้)
และนั้นเอง นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1982-1992 11 ปีเต็ม ๆ หลุยส์ อัลเบอร์โต้ การาวิโต้ก็เริ่มทำการข่มขืนเด็กเล็กๆผู้ชายไปมากมายถึง300 รายด้วยกัน แต่แล้วเมื่อเขารู้สึกว่าการกระทำแค่ข่มขืนนั้นมันไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่นัก เขาอยากทำอะไรให้มันตื่นเต้นมากขึ้นมาอีก ดังนั้นการทรมานและสังหารเหยื่อจึงเริ่มส่อเค้าลางขึ้นนับจากปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นมา
ความจริง หลุยส์นั้นมีภรรยา 2 คนและต่างก็มีลูกชายตัวน้อย ๆ ที่เกิดจากภรรยาแต่ละคนด้วย แต่เขาก็ไม่สนใจลูกๆนับตั้งแต่คลอดมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นภรรยาก็รักเขามากๆ มากจนไม่เชื่อว่าสามีเธอจะเป็นฆาตกรพันศพ!
จากคำรับสารภาพภายหลังที่หลุยส์จนมุมตำรวจทำให้ทางการโคลัมเบียและผู้คนในโคลัมเบียทั้งหมดถึงกับช๊อคกันทั้งประเทศ โดยพร้อมเพรียงกัน เพราะการจับตัวหลุยส์ได้นั้นก็คือ การจับฆาตกรต่อเนื่องรายสำคัญของประเทศที่เที่ยวได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับเด็กชายโคลมเบียนนับไม่ถ้วนมาหลายปี เนื่องจากเขาได้ลงมือสังหารเหยื่อมากมายถึง 1,800 รายนั้นซึ่งถือว่ามากมหาศาล จนนึกไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีฆาตกรรายใดที่สังหารผู้คนได้มากมายต่างกรรมต่างวาระได้ถึงขนาดนั้น เท่านั้นยังไม่พอ หน่วยงานต่างๆ ยังได้ประเมินว่าหลุยส์คงได้ทำการข่มขืนเหยื่อไปไม่ต่ำกว่า 3,000 คน อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้หลุยส์จึงถูกสอบสวนอย่างหนักควบคู่ไปกับการสำรวจค้นบ้านและหลักฐานต่างๆของเขาอย่างละเอียด และจากการตรวจที่บ้านเขานั้นเองทำให้ตำรวจตะลึงเมื่อพบว่าหลุยส์นั้นตัดเก็บหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทุกกรอบข่าวที่ลงเรื่องราวของเหยื่อของเขาที่ตายและหายไปจากบ้าน นอกจากนั้นยังพบบันทึกมากมายและแผนผังการฆ่าและฝังศพเหยื่อที่จัดทำเป็นโค้ดลับพิเศษอีกด้วย ในเดือนตุลาคม 1999 นั้นเขาถูกสอบสวนอย่างหนัก ตลอดจนหลักฐานที่มัดตัวจนดิ้นไม่หลุด ทำให้หลุยส์ถึงกับยอมเปิดปากออกมาเรื่อยๆ พร้อมทั้งน้ำตานองหน้าว่า เขาได้สังหารเด็กๆไปแล้วถึง 192 รายนับตั้งแต่ปี 1993 มาจนถึงวันที่โดนจับ และเมื่อมีการตรวจสอบตามโค้ดที่เขาบันทึกไว้ก็ทำให้ตำรวจสามารถตามหาศพที่ตายจากน้ำมือของหลุยส์ได้ในภายหลังถึง 157 ศพเข้าไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับในโคลัมเบียจึงให้สมญานามว่าเขาเป็น "อสูรกายแห่งไร่อ้อย" (The Monster Of The Sugar Canes) " แม้ว่าหลุยส์จะไม่ชอบสมญานามนั้นแต่การกระทำของเขานั้นก็บ่งบอกพฤติกรรมของเขาได้เป็นอย่างดีว่า การสังหาร ข่มขืน และทรมานเหยื่อที่เป็นเด็กชายทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในไร่อ้อยกันทั้งสิ้น
การสังหารมนุษย์อย่างมากมายนั้นทำให้หลุยส์ถึงกับสับสนอยู่เหมือนกัน ว่าฆ่าแล้วเอาศพไปฝังไว้ที่ไหนกันบ้าง แต่ทางการก็ไม่ลดละความพยายาม ยังคงสืบเสาะจากพยานแวดล้อมตลอดจนปูมบันทึกของเขาที่มักจะระบุการฆ่าเหยื่อและจุดฝังศพของเหยื่อไว้บ้างเป็นบางส่วน ทำให้สามารถสืบเสาะและตรวจสอบตามจุดต่างๆ ในบันทึกของฆาตกรรายนี้จนพบศพเพิ่มขึ้นได้ในที่สุด เวลานี้มีศพที่สามารถ "ขุด" หรือ "กู้" ขึ้นมาได้ราว 157 ศพเข้าไปแล้ว และตัวเลขจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตรามใดที่หน่วยสืบสวนสามารถจะตะล่อมหาข้อมูลจากปากของหลุยส์เพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งบรรดาเหยื่อนับร้อยพันรายของเขานั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กชายที่มีอายุตั้งแต่ 6 ขวบ ถึง 15 ปีทั้งสิ้น และแต่ละคนนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กที่มีหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส โดยที่หลุยส์นั้นค่อนข้างเลือกเหยื่อพอใช้
หลุยส์จะหลอกเด็กชายมาครั้งละคน จากนั้นก็มัดมือไพล่หลังด้วยเชือกที่เตรียมมาพร้อม และแล้วลีลาการทมานก็จะเริ่มต้นขึ้นด้วยการใช้บุหรี่ที่ติดไฟแดงวาบๆ นั้นจี้ไปตามเนื้อตัวของเหยื่อ และถ้าเด็กยิ่งร้องเขาก็ยิ่งสะใจ และจะจี้บุหรี่ตามจุดเนื้ออ่อนๆอย่างมีความสุข เขาไม่ลืมที่จะถือมีดแหลมอยู่ในมืออยู่ด้วย บ่อยครั้งที่เขาบันเทิงอารมณ์กับการจี้บุหรี่ที่ตัวเหยื่อ จนควบคุมตัวเองไม่ได้ถึงกับจ้วงมีดแทงร่างเหยืออย่างไม่ยั้ง และถ้าเหยื่อยังมีแรงดิ้นรน หรือขยับปากด่าทอเขาก็จะยิ่งมีความสุขและคลั่งมากยิ่งขึ้นรวมทั้งจะแทงเหยื่อด้วยมีดที่เตรียมมาจนเหยื่อแทบขาดใจตาย บ่อยครั้งที่เขาจะบังคับให้เหยื่อเผยอปากจูบเขา และเขาก็จะข่มขืนเหยื่อทั้งๆที่เลือดเหยื่อท่วมตัวอย่างเมามัน
เสียงร้องโหยหวนของเหยื่อก่อนขาดใจตายนั้นไม่ค่อยเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนในเขตควินดิโอมากมายนักเพราะผู้คนต่างก็ชินชากับสงครามกลางเมืองในโคลัมเบีย ที่ยืดเยื้อมานานแสนนาน ดังนั้นเสียงปืน เสียงร้อยโหยหวน และการหายตัวไปของเด็กๆ เร่ร่อน ก็แทบไม่แตกต่างจากชีวิตประจำวันของพวกเขานัก ยิ่งเปิดฉากสังหาร ข่มขืน และทรมานกันในดงไร่อ้อย ด้วยแล้วยิ่งยากต่อการจะเข้าไปตรวจสอบ จึงไม่แปลกที่เหยื่อของหลุยส์มากมายนั้นต่างก็นอนตายอยู่ในดงอ้อย กระจัดกระจายไปทั่วเขตควินดิโอเนิ่นนานหลายปี ย้อนกลับมาที่ฉากการทรมานและสังหารของหลุยส์กันต่ออีกสักนิดว่า หลังจากที่หลุยส์อิ่มเอมกับการสังหารและข่มขืนเหยื่อแล้วเขาก็จะใช้มีดคมตตัดคอหอยเหยื่อจนขาด หลังจากนั้นก็เลาะส่วนหัวของเหยื่อออกจากตัว และสิ่งที่ผู้คนสะอิดสะเอียนเมื่อรับรู้เรื่องนี้ในภายหลังก็คือหลุยส์ จะตัดอวัยวะเพศของเหยื่ออกมาด้วยแล้วก็จับมันสอดใส่ไว้ในปากของเหยื่อหัวขาดนั้นอย่างน่าสมเพชที่สุด
หลุยส์ตัดหัวเหยื่อทิ้งหมดในไร่อ้อยหลังข่มขืนอย่างทารุณมาได้เนิ่น่นานถึง 7 ปีเต็มๆ ก่อนที่จะมาพลาดท่าจนมุมโดนจับตัวได้ในดงอ้อยนั่นเอง มันเป็นการพลาดท่าที่ทำให้เขาต้องเข้าไปรับใช้กรรมในคุกขังเดี่ยวของเมืองควินดิโออยุ่ในปัจจุบัน และถ้าเขายังมีชีวิตยืนยาวไปเรื่อยๆ เขาก็จะต้องใช้กรรมอยู่ในคุกต่อไปอีกกว่า 1,200 ปี ตามโทษที่ได้รับการพิจารณาพิพากษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามหลักฐานที่พบมากขึ้นทุกสัปดาห์อีกต่างหาก วันที่หลุยส์จนมุมนั้นเป็นวันที่ 22 เม.ย. 1999 และเป็นวันที่หลุยส์ข้ามเขตไปในเมืองที่ชื่อว่า วิลลาวิเซนซิโอ และได้หลอกลวงเด็กชายอายุ6 ขวบมาได้คนหนึ่ง ก่อนที่จะพาเข้าไปในดงอ้อยและจับเด็กเปลือยร่างไปทั้งตัว พร้อมกับข่มขืนและมีความสุขตามประสาอสูรกายอย่างเมามัน
เสียงร้อยของเด็กวัย 6 ขวบ นั้นดังไปทั่วไร่อ้อย และทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า ราอูล เฮอร์นันเดซ เดินตามเสียงร้องขอชีวิตโหยหวนไปจนกระทั่งพบสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงเมื่อได้เห็น นั่นก็คือเขาเห็นร่างของเด็กน้อยวัย 6ขวบ นั้นอนเปลือยอยู่กับพื้นโดยถูกมัดไพล่หลังไม่ต่างกับสัตว์ที่กำลังโดนประหาร เหยื่ออ่อนวัยนั้นโดนทารุณมากมายแล้วก่อนหน้าที่ราอูลจะแหวกต้นอ้อยไปเห็น และขณะนั้นหลุยส์กำลังเงื้อมีดเตรยมทารุณในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ถือบุหรี่ไว้เตรียมจี้ไปที่ร่างเด็กน้อยอย่างสะใจ
คนทั้ง 3 จ้องตากัน เวลานั้นโลกทั้งโลกดูจะสงบนิ่งไปชั่วขณะ และเพียงอึดใจไอ้โหดหลุยส์ก็ทิ้งมีดและบุหรี่หนีไป แต่ราอูลไม่รอช้าเขารีบเผ่นตามอสูรกายร่างเล็กหนวดดกไปทันที และในที่สุดก็สามารถคว่ำหลุยส์ได้ จนกระทั่งเอาเชือกลากคล้องคอหลุยส์มายังโรงพักราวกับจับสัตว์ป่ามาได้ตัวหนึ่ง เมื่อมาถึงโรงพัก หลุยส์ บอกกับตำรวจว่าเขาชื่อ "บอนนิฟาซิโอ โมเรร่า ลิซคาโน่" เพื่อเป็นการอำพรางตัวเองไว้อย่างไรก็ตาม ตำรวจตั้งข้อหาเขาว่าทำทารุณกรรมกับเด็กที่เป็นเหยื่อ และเกือบจะปล่อยให้หลุยส์เป็นอิสระแล้วด้วยซ้ำไป เนื่องจากโทษทัณฑ์ทารุณกรรมทางเพศในโคลัมเบียนั้นค่อนข้างเบามาก แต่ด้วยความสงสัยบางประการทำให้ผู้คนและตำรวจในโรงพักพากันโทรศัทพ์ตามหน่วยตำรวจพิเศษจากเมืองหลวงโบโกต้า และรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จนตำรวจหน่วยพิเศษขอเวลามาตรวจสอบด้วยตนเองในอีกหลายชั่วโมงให้หลัง
ปัจจุบันหลุยส์อายุ 44 ปี ถูกขังเดี่ยวอยู่ในคุกที่ควินดิโอ และทางคุกต้องควบคุมดูแลเขาอย่างเข้มงวดเพราะกลัวว่าเขาจะฆ่าตัวตายหนีคดี ดังนั้นจึงต้องตั้งกล้องทีวีวงจรปิดไว้ในห้องขังที่เขาอยู่ตลอดเวลา เพื่อเอาไว้ดูพฤติกรรมต่างๆของเขา
โทษสูงสุดของโคลัมเบียนั้นมีแค่ระดับจำคุกตลอดชีวิต ไม่มีการประหาร ดังนั้น หลุยส์จึงยังคงเป็นนักโทษและฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุด และติดคุกยาวนานที่สุดนับเป็นพันๆปีอีกต่อไป(จำคุก 2,400ปี ถ้าอายุถึง)
0 comments:
Post a Comment