Tuesday, June 30, 2015

พิธีกรรมเลี้ยงดง


           สำหรับพิธีกรรมเลี้ยงดง ของชาวเชียงใหม่นั้นจัดขึ้นติดต่อกัน 100 กว่าปีแล้ว โดยตำนานปู่แสะย่าแสะ ในอดีตมีเมืองหนึ่งชื่อ บุพพนคร เป็นเมืองชนเผ่าลัวะ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำปิงและดอยอ้อยช้าง ชาวบ้านแห่งนี้อยู่กันแบบไม่เป็นสุขเพราะถูกยักษ์ 3 ตน ยักษ์พ่อแม่ลูก จับเอาชาวเมืองไปกินทุกวันๆ จนชาวเมืองต้องหนีออกจากเมืองเนื่องจากกลัวยักษ์ ต่อมาพระพุทธเจ้า รับรู้ความเดือดร้อนของชาวเมืองลัวะ จึงได้เสด็จมาโปรดและแสดงอภินิหาร แสดงธรรม
ให้ยักษ์สามตนได้เห็น จนยักษ์สามตนนั้นเกิดความเลื่อมใส และให้ยักษ์ทั้งสามตนสมาทานศีลห้าสืบไป ต่อมายักษ์ทั้งสามตนนึกได้ว่าพวกตนเป็นยักษ์ต้องประทังชีวิตด้วยการกินเนื้อ จึงได้ขอพระพุทธเจ้ากินควายปีละ 1 ตัว พระพุทธเจ้าไม่ตอบ ยักษ์ทั้งสามตนจึงได้ไปขอกับเจ้าเมืองลัวะ ซึ่งทางเจ้าเมืองก็ได้นำควายมาถวายให้ปีละ 1 ตัว และยักษ์ก็จะดูแลชาวบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ซึ่งยักษ์ตัวพ่อชื่อปู่แสะ ยักษ์ตัวแม่ชื่อย่าแสะ หลังสิ้นสมัยปู่แสะย่าแสะ
แล้วชาวบ้านชาวเมืองก็ยังเกรงกลัวอิทธิฤทธิ์อยู่และหวังให้ปู่แสะย่าแสะ ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา พร้อมช่วยกันดูแลชาวบ้านชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข จึงได้มีพิธีเซ่นดวงวิญญานที่เรียกกันว่า เลี้ยงดง ตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
และอีกตำนานกล่าวไว้ว่า เป็นตำนานที่ปฏิบัติ ด้วยแรงศรัทธาและความเชื่อ พิธีบวงสรวงปู่แสะ ย่าแสะ หรือ ประเพณีเลี้ยงดงการกินเลือดและเนื้อควายสดๆ ของร่างทรงปู่แสะ เป็นพิธีที่ชาว ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สืบทอดกันมาหลายร้อยปี โดยพิธีบวงสรวงปู่แสะ ย่าแสะ หรือประเพณีเลี้ยงดงนั้น จะจัดขึ้นในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี

โดยพิธีกรรมเริ่มขึ้นที่ศาลปู่และย่าแสะ ที่เชิงเขาวัดดอยคำ เพื่ออัญเชิญพระบฏหรือ ภาพเขียนพระพุทธเจ้าและดวงวิญญาณปู่แสะย่าแสะผ่านร่างทรงที่เรียกว่า "ม้าขี่" ไปยังสถานที่จัดพิธีเลี้ยงดง บริเวณป่าเชิงเขาทางทิศตะวันออกของวัดพระธาตุดอยคำ

สำหรับเรื่องราวของปู่แสะ ย่าแสะนั้น เล่าสืบต่อกันมาว่า ปู่แสะย่าแสะคือยักษ์ 2 ตนที่อยู่ในตำนาน เป็นยักษ์นิสัยดุร้าย ชอบกินเนื้อคนและสัตว์เป็นอาหาร เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดสัตว์ ทราบความเข้าจึงห้ามยักษ์สองตนไม่ให้กินคน ยักษ์จึงต่อรองขอกินสัตว์หูยาวแทนและเมื่อละเว้นการฆ่าคนได้ พระพุทธเจ้าจึงให้ยักษ์ 2 ตน เป็นผู้ดูแลรักษาดอยคำและ ดอยสุเทพให้ผู้คนที่อยู่อาศัยอยู่บนดอยนั้นอยู่เย็นเป็นสุข
ต่อมาในสมัยของพระเมกุฏิ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญอย่างมาก จึงเชื่อกันว่าเพราะเจ้าเมืองไม่มีการทำพิธีเซ่นไหว้ปู่แสะ ย่าแสะ
กระทั่งในสมัยของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้าย ในราวปี พ.ศ.2452-2482 จึงได้มีการฟื้นฟูประเพณีเลี้ยงดงหรือ พิธีบวงสรวงปู่แสะย่าแสะ ขึ้นอีกครั้งทำให้บ้านเมืองมีความเจริญ และปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พิธีดังกล่าว จะใช้เครื่องเซ่นไหว้ คือ ควายรุ่น เขาเพียงหู กีบเท้าสีน้ำผึ้ง กล่าวคือยังไม่เคยลงไถคราดดิน มาชำแหละเอาเครื่องในออกและนำตัวมานอนแผ่ไว้ในคอก โดยพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มขึ้นเมื่อดึงผ้าพระบฏหรือภาพวาดพระพุทธเจ้าที่มีอายุกว่าร้อยปีขึ้นสู่ต้นไม้และแกว่งไปมา
ทั้งนี้มาจากตำนานที่เล่าไว้ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้กับยักษ์ปู่แสะย่าแสะว่า ตราบใดที่เราตถาคตยังเคลื่อนไหวอยู่ ห้ามยักษ์นั้นกินเนื้อมนุษย์และทำร้ายมนุษย์ จากนั้นเมื่อปู่แสะลงร่างทรง ร่างทรงปู่แสะก็จะลงมากินเนื้อควายสดๆ และดื่มเลือดควายอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมเดินไปรอบๆ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและเศษเนื้อควาย นอกจากนี้ยังพูดคุยเสียงดังด้วยภาษาพื้นเมือง ซึ่งใจความว่า มนุษย์พวกนั้น ที่มันอยู่ที่นี่ แล้วเอาที่ไปขายกิน มันจงพินาศฉิบหาย กูจะไปกินมัน นอกจากนั้นร่างทรงปู่แสะ ยังสั่งสอนเตือนสติชาวบ้านให้ประกอบแต่กรรมดีและรู้จักรักและหวงแหนผืนป่า
นายธนวัฒน์ ยอดใจ นายกอบต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ในฐานะผู้จัดงานปีนี้เล่าถึงวัตถุประสงค์ของพิธีบวงสรวงปู่แสะย่าแสะว่า ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้อายุ 41 ปี ก็ได้เห็นพิธีกรรมดังกล่าวมาโดยตลอด
"พิธีกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชาวบ้าน ไม่แตกต่างจากพิธีกรรมอื่นๆ แต่ที่ดูแปลกและเป็นที่พูดถึงกันมาก
คงเป็นเรื่องของเครื่องเซ่นไหว้ที่เป็นเนื้อควายสด เลือดควายสด" อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงหัวใจของพิธีก็เพื่อให้ผู้มาร่วมพิธีกรรมและทุกคนประกอบแต่กรรมดี และรู้สึกสำนึกรักษ์ป่าและผืนแผ่นดินที่อยู่อาศัย

ขั้นตอนพิธีกรรม
เริ่มจากการเตรียมจัดหาร่างทรง และกระบือดำ หรือควายและจัดซื้อข้าวของสำหรับใช้ในการประกอบพิธีกรรมใน ประเพณีเลี้ยงดง โดยมีเครื่องสักการะ ได้แก่ หม้อดินเผา 4 ใบ สุรา กล้วย 4 หวี มะพร้าว 2 คู่เสื้อผ้าหมากพลู ข้าวตอกดอกไม้ ซึ่งประเพณีเลี้ยงดงนี้เป็นประเพณีที่ชาวบ้านต้องฆ่าควายเพื่อถวายให้ผียักษ์ 2 ตน คือ" ผีปู่แสะ"และ"ย่าแสะ" เพราะเชื่อกันว่าเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล หากปีไหนไม่ฆ่าควายเซ่นผี เชื่อว่าจะทำให้เกิดโรคระบาดและเกิดทุกข์ภัยขึ้นได้
จากนั้น ขั้นตอนของพิธีเริ่มจากการนำควายดำตัวผู้ ที่มีลักษณะเขายาวเท่าหู จะถูกพามาเชือดที่บริเวณลานโล่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ดง จากนั้นจะมีการแห่พระบฏ (ผ้าซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้า ปางห้ามญาติ อายุเก่าแก่ประมาณ 100 ปี) เข้ามาที่ดง เพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า
จากนั้นจะมีผู้เฒ่าผู้แก่เชิญวิญญาณผีปู่แสะย่าแสะ และเหล่าบรรดาลูกๆ อีก 32 ตนมาเข้าร่างทรงซึ่งไม่เปิดเผยชื่อสลับกับเสียงพระสวด โดยเริ่มจากผีปู่แสะก่อน เมื่อผีเข้าร่างทรงก็จะเข้ามากัดกินเนื้อควายดิบ และของเซ่นอื่นๆ 

0 comments:

Post a Comment