เมื่อประมาณเกือบ ๑๐๐ ปีมาแล้ว ที่บ้านหนองช้างคืน มีหญิงสาวสวยผิวพรรณผุดผ่อง กิริยาอัธยาศัยอ่อนโยน รูปร่างสมส่วนอรชรอ้อนแอ้นสมเป็นหญิงสวย ชื่อว่า “บัวตอง” มีอาชีพทำนาทำสวน ใช้ชีวิตตามแบบอย่างสตรีชาวเหนือโบราณ ต้องตำข้าวโดยใช้ครกกระเดื่อง และใช้หูกทอผ้าใช้เอง บางครั้งก็มีบ่าว (ผู้ชายที่ยังไม่แต่งงาน) มาเที่ยวหาสาวเพื่อเกี้ยวพาราสีเสมอ ๆ ในบรรดาหนุ่ม ๆ ที่มาเที่ยว นอกจากจะเป็นคนในละแวกบ้านเดียวกัน ยังปรากฏว่ามีหนุ่มเชื้อเจ้าผู้ครองนครลำพูนมีชื่อว่า “เจ้าคุ้ม” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าน้อยพรหม” เพราะตอนที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณร มีฉายาว่า “พรหมปญโญ” เมื่อลาสิกขาบทแล้วจึงนิยมใช้คำว่า “น้อย” นำหน้าชื่อ เป็น ”เจ้าน้อยพรหม” ถ้าลาสิกขาบทจากพระภิกษุ จะเรียกนาม “หนาน” นำหน้าชื่อตามธรรมเนียมของชาวเหนือ เจ้าน้อยพรหมเป็นราชบุตรของเจ้าชัยลังกา พิศาลโสภาคยคุณ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ ๖ กับเจ้าแม่หมอกแก้ว และเป็นอนุชาต่างมารดาของเจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ ๗
ในการเที่ยวหาสาวบัวตองของเจ้าน้อยพรหม ปรากฏว่า ทั้งสองคนเกิดชอบพอกัน จนกลายเป็น "ตัวพ่อตัวแม่" (คู่รัก) ของกันและกัน เจ้าน้อยพรหม จึงเป็นแขกประจำบ้านสาวบัวตอง บัวตองก็ให้การต้อนรับเจ้าน้อยพรหม ด้วยกิริยาอันอ่อนน้อม จนเป็นที่ต้องใจของเจ้าน้อยพรหมเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเจ้าน้อยพรหมก็มีน้ำใจดีงาม ให้การช่วยเหลือเกื้อกูลแก่สาวบัวตอง เป็นอย่างดี ทั้งสองผูกสมัครรักใคร่ กันอย่างดูดดื่มแน่นแฟ้น ต่างก็ตั้งใจไว้อย่างแม่นมั่นว่าจะครองรักกัน และอยู่ร่วมกันจนแก่จนเฒ่า
วันหนึ่งเกิดมีช้างพังตัวหนึ่งเข้ามาอาละวาดในเขตนครลำพูน ด้านทิศเหนือ และล่องมาเรื่อย ๆ จนถึงหมู่บ้านหนองช้างคืน ช้างได้ทำลายครกกระเดื่อง ฉางข้าว เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านจนได้รับความเสียหาย วันนั้นเจ้าน้อยพรหมก็ได้มาบ้านสาวบัวตอง เมื่อทราบข่าวของช้างทำลายข้าวของเสียหาย เจ้าน้อยพรหมมิรอช้าก็คว้าดาบวิ่งรี่ออกจากบ้านสาวคนรักไปไล่ช้างพังตัวนั้น ความประสงค์เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เจ้าน้อยพรหมเมื่อประจันหน้ากับช้างพังดุร้ายนั้น จึงยกดาบขึ้นฟันช้างเชือกนั้น เพื่อป้องกันตนเอง ปรากฏว่าช้างพังวิ่งเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิต จนพ้นเขตบ้านหนองช้างคืน และได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา โดยท่านไม่ทราบว่าช้างเชือกนั้น เป็นของเจ้าหลวงอินทวิชทยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ และการฆ่าช้างเจ้ามีความผิดใหญ่หลวง เพราะถือเป็นการหมิ่นเกียรติเจ้าเมืองเชียงใหม่ ทางเจ้าราชสำพันธวงค์ (อนุชาของพ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์) เมื่อทราบข่าวก็เรียกเจ้าน้อยพรหมไปตักเตือน แต่ทางเชียงใหม่เจ้านางทิพย์ไกรสรกลับผูกใจแค้น ไม่ยินยอมเพราะถือเป็นการดูถูกเจ้านายเมืองเชียงใหม่
ต่อมาเมื่อเจ้าราชสัมพันธวงค์ ได้ออกนอกเมืองไปพักผ่อนที่บ้านภรรยา ณ บ้านเมืองเลน แคว้นสันทราย (อ.สันทรายปัจจุบัน) เจ้าแม่ทิพย์ไกสร ก็รับสั่งให้มีสาส์นในนามของพ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ถึง เจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ เจ้าเมืองลำพูน ความว่า ขอส่งตัวเจ้าน้อยพรหม ไปเชียงใหม่ เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตายของช้างอีกครั้งหนึ่ง ส่วนเจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ทรงคิดว่า ไม่มีเรื่องอะไรอีก เพราะได้จัดการลงโทษเจ้าน้อยพรหม ดั่งเจ้าราชสัมพันธวงค์ทูลไว้แล้ว จึงส่งตัวเจ้าน้อยพรหมไปเชียงใหม่ พร้อมกับคนเดินหนังสือคนนั้น หวังจะให้เข้าเฝ้าพ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์ตามข้อความในสาส์นฉบับนั้น
0 comments:
Post a Comment