โรงเตี๊ยมผีสิงแห่งทิซาเคอร์ต
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้สภาพเศรษฐกิจของยุโรปถดถอยอย่างรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง เพื่อหาเลี้ยงชีพ หลายคนไม่เลือกวิธีการ โดยขอเพียงให้ตนเอาตัวรอดได้เท่านั้นก็พอ ดังเช่นเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้
ใน ปีค.ศ. 1919 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลงได้หนึ่งปี ลาซิโอ และ ซูสิ ครอมเบิร์ก สองสามีภรรยา เจ้าของโรงเตี๊ยมหรือที่พักคนเดินทางเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้กับหมู่บ้านตรงชานเมืองทิซาเคร์ต เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในฮังการี กำลังประสบกับสภาพย่ำแย่เช่นเดียวกับคนอีกเป็นจำนวนมากในช่วงเวลานั้น
ทั้งสองมีลูกด้วยกันสี่คน ลูกชายคนโตได้หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุสิบสามเนื่องจากทะเลาะกับพ่อเรื่องผลการเรียน ส่วนลูกชายคนที่สองและสามถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและเสียชีวิตในสนามรบทั้งคู่ ขณะที่ลูกสาวคนเล็กหนีหายไปจากบ้านเนื่องจากทนอยู่กับความยากจนไม่ได้ โดยข่าวสุดท้ายที่สองสามีภรรยาได้ยินเกี่ยวกับลูกสาวของพวกเขาก็คือ เธอกลายเป็นโสเภณีในนครบูดาเปสต์และหายสาปสูญไปจากนั้น
การสูญเสียลูกๆ ไปทั้งหมด ทำให้ทั้งลาซิโอและซูสิ รู้สึกเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม ทั้งสองยังคงเหลือสิ่งมีค่าชิ้นสุดท้าย นั่นก็คือโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นบ้านของพวกเขาด้วย ทว่าในช่วงเวลาของสงครามที่ยาวนาน ทำให้กิจการของพวกเขาต้องหยุดชะงัก และเนื่องจากไม่มีลูกค้ามาพักเลยในช่วงเวลาหลายปีดังกล่าว ทำให้ทั้งสองต้องนำเอาเงินที่เก็บสะสมไว้มาใช้ จนหมดไป และเมื่อเงินหมด ทั้งคู่ก็หารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตอันสิ้นหวังนี้
ลาซิโอ กับ ซูสิ ไม่อยากขายบ้าน ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะเขาหวังว่า วันหนึ่งลูกของพวกเขาอาจจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ทว่าคนเราจำเป็นต้องใช้เงิน และเมื่อความจำเป็นบีบบังคับ ทั้งคู่จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกนอกจากการหาเงินจากแขกที่มาพัก
ทั้งคู่แอบไปขุดหลุมใหญ่ในป่าหลังบ้านพร้อมกับเตรียมปูนขาวเอาไว้เป็นจำนวนมาก จากนั้นซูสิก็ไปซื้อยาสตริกนินมาจากร้านขายยาที่อยู่ห่างไปหลายตำบล เพื่อเริ่มแผนการอันน่าสยอง นั่นคือ การวางยาสังหารแขกที่มาพัก เพื่อชิงทรัพย์ ทั้งนี้นับแต่ ปีค.ศ. 1919 – 1922 ทั้งคู่ได้ใช้ยาพิษสังหารแขกที่มาพักไปถึง 10 คน โดยทุกคนจะประสบกับชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือ หลังจากเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองสามีภรรยาจะเตรียมไวน์ชนิดพิเศษระดับวินเทจ ให้ลูกค้าได้ดื่มปิดท้ายและไวน์พิเศษแก้วนั้นเองที่ถูกโรยด้วยสตริกนินเข้มข้น
0 comments:
Post a Comment