Tuesday, June 30, 2015

พิธีกรรมเลี้ยงดง


           สำหรับพิธีกรรมเลี้ยงดง ของชาวเชียงใหม่นั้นจัดขึ้นติดต่อกัน 100 กว่าปีแล้ว โดยตำนานปู่แสะย่าแสะ ในอดีตมีเมืองหนึ่งชื่อ บุพพนคร เป็นเมืองชนเผ่าลัวะ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำปิงและดอยอ้อยช้าง ชาวบ้านแห่งนี้อยู่กันแบบไม่เป็นสุขเพราะถูกยักษ์ 3 ตน ยักษ์พ่อแม่ลูก จับเอาชาวเมืองไปกินทุกวันๆ จนชาวเมืองต้องหนีออกจากเมืองเนื่องจากกลัวยักษ์ ต่อมาพระพุทธเจ้า รับรู้ความเดือดร้อนของชาวเมืองลัวะ จึงได้เสด็จมาโปรดและแสดงอภินิหาร แสดงธรรม
ให้ยักษ์สามตนได้เห็น จนยักษ์สามตนนั้นเกิดความเลื่อมใส และให้ยักษ์ทั้งสามตนสมาทานศีลห้าสืบไป ต่อมายักษ์ทั้งสามตนนึกได้ว่าพวกตนเป็นยักษ์ต้องประทังชีวิตด้วยการกินเนื้อ จึงได้ขอพระพุทธเจ้ากินควายปีละ 1 ตัว พระพุทธเจ้าไม่ตอบ ยักษ์ทั้งสามตนจึงได้ไปขอกับเจ้าเมืองลัวะ ซึ่งทางเจ้าเมืองก็ได้นำควายมาถวายให้ปีละ 1 ตัว และยักษ์ก็จะดูแลชาวบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ซึ่งยักษ์ตัวพ่อชื่อปู่แสะ ยักษ์ตัวแม่ชื่อย่าแสะ หลังสิ้นสมัยปู่แสะย่าแสะ
แล้วชาวบ้านชาวเมืองก็ยังเกรงกลัวอิทธิฤทธิ์อยู่และหวังให้ปู่แสะย่าแสะ ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา พร้อมช่วยกันดูแลชาวบ้านชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข จึงได้มีพิธีเซ่นดวงวิญญานที่เรียกกันว่า เลี้ยงดง ตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
และอีกตำนานกล่าวไว้ว่า เป็นตำนานที่ปฏิบัติ ด้วยแรงศรัทธาและความเชื่อ พิธีบวงสรวงปู่แสะ ย่าแสะ หรือ ประเพณีเลี้ยงดงการกินเลือดและเนื้อควายสดๆ ของร่างทรงปู่แสะ เป็นพิธีที่ชาว ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สืบทอดกันมาหลายร้อยปี โดยพิธีบวงสรวงปู่แสะ ย่าแสะ หรือประเพณีเลี้ยงดงนั้น จะจัดขึ้นในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี

โดยพิธีกรรมเริ่มขึ้นที่ศาลปู่และย่าแสะ ที่เชิงเขาวัดดอยคำ เพื่ออัญเชิญพระบฏหรือ ภาพเขียนพระพุทธเจ้าและดวงวิญญาณปู่แสะย่าแสะผ่านร่างทรงที่เรียกว่า "ม้าขี่" ไปยังสถานที่จัดพิธีเลี้ยงดง บริเวณป่าเชิงเขาทางทิศตะวันออกของวัดพระธาตุดอยคำ

สำหรับเรื่องราวของปู่แสะ ย่าแสะนั้น เล่าสืบต่อกันมาว่า ปู่แสะย่าแสะคือยักษ์ 2 ตนที่อยู่ในตำนาน เป็นยักษ์นิสัยดุร้าย ชอบกินเนื้อคนและสัตว์เป็นอาหาร เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดสัตว์ ทราบความเข้าจึงห้ามยักษ์สองตนไม่ให้กินคน ยักษ์จึงต่อรองขอกินสัตว์หูยาวแทนและเมื่อละเว้นการฆ่าคนได้ พระพุทธเจ้าจึงให้ยักษ์ 2 ตน เป็นผู้ดูแลรักษาดอยคำและ ดอยสุเทพให้ผู้คนที่อยู่อาศัยอยู่บนดอยนั้นอยู่เย็นเป็นสุข
ต่อมาในสมัยของพระเมกุฏิ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญอย่างมาก จึงเชื่อกันว่าเพราะเจ้าเมืองไม่มีการทำพิธีเซ่นไหว้ปู่แสะ ย่าแสะ
กระทั่งในสมัยของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้าย ในราวปี พ.ศ.2452-2482 จึงได้มีการฟื้นฟูประเพณีเลี้ยงดงหรือ พิธีบวงสรวงปู่แสะย่าแสะ ขึ้นอีกครั้งทำให้บ้านเมืองมีความเจริญ และปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พิธีดังกล่าว จะใช้เครื่องเซ่นไหว้ คือ ควายรุ่น เขาเพียงหู กีบเท้าสีน้ำผึ้ง กล่าวคือยังไม่เคยลงไถคราดดิน มาชำแหละเอาเครื่องในออกและนำตัวมานอนแผ่ไว้ในคอก โดยพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มขึ้นเมื่อดึงผ้าพระบฏหรือภาพวาดพระพุทธเจ้าที่มีอายุกว่าร้อยปีขึ้นสู่ต้นไม้และแกว่งไปมา
ทั้งนี้มาจากตำนานที่เล่าไว้ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้กับยักษ์ปู่แสะย่าแสะว่า ตราบใดที่เราตถาคตยังเคลื่อนไหวอยู่ ห้ามยักษ์นั้นกินเนื้อมนุษย์และทำร้ายมนุษย์ จากนั้นเมื่อปู่แสะลงร่างทรง ร่างทรงปู่แสะก็จะลงมากินเนื้อควายสดๆ และดื่มเลือดควายอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมเดินไปรอบๆ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและเศษเนื้อควาย นอกจากนี้ยังพูดคุยเสียงดังด้วยภาษาพื้นเมือง ซึ่งใจความว่า มนุษย์พวกนั้น ที่มันอยู่ที่นี่ แล้วเอาที่ไปขายกิน มันจงพินาศฉิบหาย กูจะไปกินมัน นอกจากนั้นร่างทรงปู่แสะ ยังสั่งสอนเตือนสติชาวบ้านให้ประกอบแต่กรรมดีและรู้จักรักและหวงแหนผืนป่า
นายธนวัฒน์ ยอดใจ นายกอบต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ในฐานะผู้จัดงานปีนี้เล่าถึงวัตถุประสงค์ของพิธีบวงสรวงปู่แสะย่าแสะว่า ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้อายุ 41 ปี ก็ได้เห็นพิธีกรรมดังกล่าวมาโดยตลอด
"พิธีกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชาวบ้าน ไม่แตกต่างจากพิธีกรรมอื่นๆ แต่ที่ดูแปลกและเป็นที่พูดถึงกันมาก
คงเป็นเรื่องของเครื่องเซ่นไหว้ที่เป็นเนื้อควายสด เลือดควายสด" อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงหัวใจของพิธีก็เพื่อให้ผู้มาร่วมพิธีกรรมและทุกคนประกอบแต่กรรมดี และรู้สึกสำนึกรักษ์ป่าและผืนแผ่นดินที่อยู่อาศัย

ขั้นตอนพิธีกรรม
เริ่มจากการเตรียมจัดหาร่างทรง และกระบือดำ หรือควายและจัดซื้อข้าวของสำหรับใช้ในการประกอบพิธีกรรมใน ประเพณีเลี้ยงดง โดยมีเครื่องสักการะ ได้แก่ หม้อดินเผา 4 ใบ สุรา กล้วย 4 หวี มะพร้าว 2 คู่เสื้อผ้าหมากพลู ข้าวตอกดอกไม้ ซึ่งประเพณีเลี้ยงดงนี้เป็นประเพณีที่ชาวบ้านต้องฆ่าควายเพื่อถวายให้ผียักษ์ 2 ตน คือ" ผีปู่แสะ"และ"ย่าแสะ" เพราะเชื่อกันว่าเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล หากปีไหนไม่ฆ่าควายเซ่นผี เชื่อว่าจะทำให้เกิดโรคระบาดและเกิดทุกข์ภัยขึ้นได้
จากนั้น ขั้นตอนของพิธีเริ่มจากการนำควายดำตัวผู้ ที่มีลักษณะเขายาวเท่าหู จะถูกพามาเชือดที่บริเวณลานโล่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ดง จากนั้นจะมีการแห่พระบฏ (ผ้าซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้า ปางห้ามญาติ อายุเก่าแก่ประมาณ 100 ปี) เข้ามาที่ดง เพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า
จากนั้นจะมีผู้เฒ่าผู้แก่เชิญวิญญาณผีปู่แสะย่าแสะ และเหล่าบรรดาลูกๆ อีก 32 ตนมาเข้าร่างทรงซึ่งไม่เปิดเผยชื่อสลับกับเสียงพระสวด โดยเริ่มจากผีปู่แสะก่อน เมื่อผีเข้าร่างทรงก็จะเข้ามากัดกินเนื้อควายดิบ และของเซ่นอื่นๆ 

บ้านร่มเกล้า สงครามที่ถูกลืม



            สงครามบ้านร่มเกล้าเกิดจากกรณีพิพาท ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก อันเนื่องมาจากปัญหาเส้นเขตแดนที่อ้างสนธิสัญญาคนละฉบับ 

ลาวได้ส่ง กำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ส่วนที่เป็นปัญหา ไทยส่งกำลังทหารเข้าผลักดัน เกิดการปะทะกันด้วยกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างหนักหน่วงในช่วงเดือนธันวาคม 2530 ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2531 มีการหยุดยิงเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531 

เหตุการณ์เกิดขึ้นใน ช่วงปลายของยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ 
ทั้งนี้โดยมีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก 
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 15 ปี มีผู้ใช้เรื่องนี้กล่าวหาพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในทางดูถูกดูแคลน 
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมเชื่อว่าสงครามร่มเกล้าครั้งนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นมหาโยธิน 

ความจริง ถ้าคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมี ศักดิ์รามาธิบดีนี้จะต้องดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแช่คมหอกคมดาบและผ่านพิธี โองการแช่งน้ำ ในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาดาราม (วัดพระแก้ว) ซึ่งก็คือการดื่มน้ำถวายสัตย์สาบานต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดแก่นายทหารและข้าแผ่นดิน ข้อกล่าวหาทั้งหลายก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้ว 

แต่หลายปีมานี้พล .อ.ชวลิต ยงใจยุทธก็ดี กองทัพไทยก็ดี ต่างไม่ปริปากพูดถึงเรื่องนี้ ยอมกลืนเลือดข่มกล้ำความเจ็บช้ำน้ำใจที่อาจจะมีอยู่บ้างไว้ ผมเชื่อว่า เหตุผลหนึ่งก็เพื่อไม่ต้องการให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 

ทำ ให้นักฉวยโอกาสเหยียบย่ำซ้ำเติมมาโดยตลอด 
สงครามบ้านร่มเกล้าไม่น่า จะเป็นเพียงไทยรบกับลาว หากแต่มีเวียดนามยืนอยู่เบื้องหลัง เป็นจุดล่อแหลมครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย 
ความลับที่ไม่เคยเปิด เผยคือไทยได้รับความช่วยเหลือจากจีนในครั้งนั้นด้วย ! 


ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ของบ้านร่มเกล้าเสียก่อน 
ตามสนธิสัญญา ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ. 2451 กำหนดให้ลำน้ำเหืองเป็นเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส แต่ปีถัดมาพนักงานสำรวจทำแผนที่พบว่ามีน้ำเหือง 2 สาย ฝรั่งเศสตัดสินเอาเองโดยไม่ได้แจ้งให้กรุงเทพฯทราบ เลือกสายน้ำที่ทำให้ตนได้ดินแดนมากขึ้นหน่อย ลาวรับช่วงถือเขตแดนนี้ 

แต่ ลำน้ำเหือง 2 สายนั้นไม่ตรงกับแนวลำน้ำในปัจจุบันที่ปรากฏในแผนที่สหรัฐทำให้รัฐบาลไทย ช่วงสงครามเวียดนาม ลำน้ำในปัจจุบันเรียกว่าเหืองป่าหมัน ไม่ใช่ชื่อที่เคยปรากฏในเอกสารใด ๆ เมื่อพ.ศ. 2450 - 2451 

เขตแดน ตรงนั้นไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งปี 2530 ลาวอ้างว่าบริเวณบ้านร่มเกล้าเป็นของลาว เนื่องจากแผนที่คนละฉบับกับไทย ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดในการสำรวจเมื่อปี 2450 

ช่วงปี 2510 - 2520 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เคลื่อนไหวรุนแรงที่จะยึดอำนาจรัฐ พื้นที่ติดต่อเขตลาวในเขตนี้ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเผ่าม้ง ถูกใช้เป็นพื้นที่หลบซ่อนและปฏิบัติการ เพราะสามารถข้ามลำน้ำเหืองเข้ามาในเขตไทยได้ง่าย และบริเวณพื้นที่นี้กลายเป็นยุทธบริเวณอันสำคัญระหว่างทหารกับพคท. 

ชาว ม้ง ซึ่งเป็นแนวร่วมสำคัญของพคท. ถูกปราบปรามอย่างหนัก หนีข้ามลำน้ำเหืองเข้าไปในเขตลาว 
ช่วงปี 2525 สถานการณ์ในอินโดจีนเปลี่ยนแปลง ประกอบกับนโยบาย 66/2523 ของรัฐบาลไทยคือใช้ยุทธศาสตร์ การเมืองนำทหาร ทำให้ชาวม้งตัดสินใจกลับเข้ามาตามโครงการเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กองทัพภาคที่ 3 ได้ตัดถนนสายยุทธศาสตร์และแนวชายแดนจากอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ขึ้นไปสิ้นสุดที่บ้านร่มเกล้า 

กลายเป็นเขตสัมปทานป่าไม้ มีการจัดตั้งชุดทหารพรานคุ้มครองที่ 3405 ขึ้น 
และนั่นคือจุดเริ่ม ต้นของปัญหา ! 
วันที่ 31 พฤษภาคม 2530 ทหารลาวยกกำลังเข้ามาในพื้นที่ซึ่งฝ่ายไทยอ้างว่าอยู่ในเขตอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ทำลายรถแทรกเตอร์ของบริษัทป่าไม้เอกชนเสียหาย 3 คัน มีผู้เสียชีวิต 1 คน หายสาบสูญ 1 คน ทหารพรานชุด 3405 เข้าปะทะกับทหารลาว 

วัน ที่ 1 มิถุนายน 2530 ทหารลาวเข้าโจมตีม้งที่บ้านร่มเกล้า โดยอ้างว่าเป็นการกวาดล้างม้งที่เคลื่อนไหวต่อต้านทางการลาว และมีทหารลาวอีกชุดหนึ่งยกกำลังข้ามพรมแดนเข้ามาที่เขตบ้านนาผักก้าม และบ้านนากอก อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ยิงราษฎรไทยตาย 1 คน จับกุมตัวไป 6 คน หนีรอดมา 1 คน โดยกล่าวหาว่าราษฎรเหล่านั้นลักลอบเข้าไปตัดไม้ในลาว ฯลฯ 


ขณะนั้นสหรัฐเผ่นออกไปจากเอเชียแล้ว ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไว้ในเวียดนาม ทางอีสานใต้มาถึงตะวันออกกองพลใหญ่ของเวียดนามจ่อคอหอยอยู่ ทางอีสานเหนือภายใต้ชื่อทหารลาว แต่ความจริงน่าจะเป็นกองกำลังผสมของหลายชาติ โดยมีชาติมหาอำนาจยืนทะมึนอยู่ข้างหลัง ทั้งได้ใช้เทคโนโลยีสูงยิ่งในการบัญชาการ 
ยามนั้นกองทัพไทยปกป้อง เอกราชอธิปไตยจนแม้กระสุนปืนใหญ่ก็ไม่เหลือ ที่ระดมมาจากมิตรประเทศในอาเชียนก็หมดสิ้น 
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธสั่งการให้อดีตทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน คือ พ.อ.อมรรัตน์ จินตกานนท์ ร่วมกับ คณะทำงานลับ คนหนึ่ง และทีมงานของเขา ติดต่อประสานงานกับกองทัพจีน นำไปสู่กระบวนการ วิธีการพิเศษ ลำเลียงทั้งปืนใหญ่และกระสุนจากจีนมาใช้ ! 
ปืนใหญ่และกระสุนปืนใหญ่ ชุดนั้นมีความหมาย 2 นัย นัยแรกตรงไปตรงมา คือเป็นยุทโธปกรณ์เสริมและทดแทน นัยที่สองที่อาจจะสำคัญกว่าก็คือเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ สาส์น ที่ต้องการ สื่อ ต่อฝ่ายตรงกันข้าม 
ลักษณะกระสุนชนิดใหม่ที่ถูกยิงออกไปทำ ให้เกิดความเข้าใจว่าศึกครั้งนี้ไทยไม่ได้รบโดยโดดเดี่ยวแล้ว จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการเจรจา และถอนทหารออกจากแนวรบ 
อาจกล่าว ได้ว่าเป็นชัยชนะโดยไม่ต้องรบ 
แน่นอนว่าวิถีทางในการรักษาเอกราช อธิปไตยของชาตินับแต่ประวัติศาสตร์มา คือ วิถีทางการทูต และวิถีทางการทหาร ต้องใช้วิธีทั้งสองตามสถานการณ์ และอย่างพลิกแพลง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ใช้แต่ทางใดทางหนึ่ง คำพูดที่ว่า สู้ตาย เป็นเรื่องเหลวไหลที่นักการทหารชั้นยอดจะไม่ยอมใช้ เพราะเขาใช้แต่คำว่าสู้เพื่อชนะ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ 
เป้า หมายทางยุทธศาสตร์ของไทยคือการรักษาเอกราชอธิปไตยของไทยโดยไม่ให้บอบช้ำต่อ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 
หลังจากเหตุการณ์ร่มเกล้าแล้ว ความจริงคนไทยควรจะได้รู้ว่าใครคือมิตรแท้ แต่การนำความจริงมาเปิดเผยในบางสถานการณ์ย่อมไม่เป็นผลดี เช่น สมมติว่าในช่วงนั้นประกาศให้รู้ทั่วกันว่าไทยไม่ได้รบกับลาวประเทศเดียว ก็เสมือนเท่ากับประกาศสงครามกับเวียดนามและสหภาพโซเวียตโดยตรง มีหรือที่ศึกจะไม่ใหญ่ขึ้น และถ้าเป็นเช่นนั้นใครจะรับผิดชอบต่อเอกราชอธิปไตยของชาติ 
เมื่อตอบ คำถามนี้ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องกล่าวว่า เป็นโชคดีของประเทศไทยที่พคท.กับเวียดนามและลาวเข้ากันไม่ได้ ขณะเดียวกันจีนก็หันมาสัมพันธ์กับไทยในลักษณะรัฐต่อรัฐ มากกว่าพรรคต่อพรรค 
นี่ เป็นผลส่วนหนึ่งจากที่การที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธเดินทางไปเจรจาความเมืองกับเติ้งเสี่ยวผิงในขณะนั้น ! 
1.. มีมหาอำนาจมาช่วยลาวรบจริง 
2.. ด้วยเทคโนโลยี จาก มหาอำนาจ ทำให้เขาเหนือกว่าเราในช่วงแรกของสงคราม เป็นต้นว่า 
เขามี เรดาห์ซึ่งสามารถจับ วิธีการยิงปืนใหญ่ของเราได้ ดังนั้นเราจึงต้อง ย้ายที่ตั้งปืนใหญ่ทันทีเมื่อยิงเสร็จ 
3.. เรื่อง อาวุธจากจีนนั้น ผมว่าคงเป็นแค่ประเด็นเสริม เหมือนกรณี ประเด็นเสริม Dr. เอเดรียน 
4.. จริง ๆ แล้ว เพราะว่า ทางไทยได้ส่งหน่วย รบพิเศษ ไปปฏิบัติการในแนวหลังของฝ่ายตรงข้าม ในลักษณะสงครามกองโจร 
ทำให้ ฝ่ายตรงข้ามเกิดวิกฤตขึ้น เนื่องจากขาดการส่งกำลังบำรุง 
5..จาก หัวข้อกระทู้ เบื้องหลัง....ไทยไม่ได้แพ้ สรุปได้ว่า จาก 
ที่เราได้ส่ง หน่วยรบพิเศษไปปฏิบัติการในแนวหลัง ของฝ่ายตรงข้าม 
ทำให้ ทางลาว ต้องส่งผู้แทนมาเจรจา กับ ไทย เพื่อเจรจา ขอ สงบศึก ซึ่ง ในมุมมองของทางการเมืองและทหารแล้ว 
ประเทศคู่สงครามประเทศใด ขอเจรจาก่อน หมายถึง ขอยอมแพ้แล้วนั่นเอง 
จากการปะทะกันระหว่างทหารไทย และลาวนั้น มีรายงานจากบางหน่วยแจ้งว่ามีฝ่ายลาวมีทหารต่างชาติบัญชาการรบ 
อาจ เป็นคนรัสเซีย และถูกทหารไทยยิงตายไปหลายคน (กองทัพไทยไม่ได้ให้ข้อมูลกับเรื่องนี้มากนัก) จากการปะทะหลายครั้ง 
บาง หน่วยรายงานว่า ทหารที่เข้าใจว่าเป็นทหารลาว บางคนพูดร้องสั่งการเป็นภาษาเวียดนาม คาดว่าเป็นกองกำลังผสมระหว่างเวียดนาม 
และลาวที่รบกับไทย ในการรบที่บ้านร่มเกล้านี้จึงไม่ใช่กรณีพิพาทระหว่างไทยกับลาวธรรมดา 
ระบบ อาวุธและการติดต่อสื่อสารในการรบที่ทางฝ่ายลาวใช้นั้น ทันสมัยมาก สามารถรู้พิกัดที่ตั้งปืนใหญ่ของไทย 
และยิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการรบกวนระบบการสื่อสารของทหารไทย ซึ่งกองทัพประชาชนลาวคงไม่มีระบบที่ทันสมัยอย่างนี้ 
ที่ตั้งบนเนิน ๑๔๒๘ มีการดัดแปลงการตั้งรับอย่างดี บังเกอร์เป็นคอนกรีต เสริมเหล็ก ลักษณะเป็นเนินเขาบีบแคบ 
ในการเข้าตีต้องเข้าตีจากด้านหน้าอย่างเดียว ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบในการรบ หากจะต้องทำการรบในกรอบปกติ 
๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๐ กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่าลาวมีความประสงค์ที่จะให้มีการเจรจาเพื่อปรับ ปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้น 
เป็นครั้งที่ ๓ หลังจากการเจรจาสองครั้งที่ผ่านมาคือครั้งแรก ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๐ ครั้งที่สอง ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ 
ประสพความล้มเหลว (หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าทุก ๆ ครั้งที่ฝ่ายลาว

ซาตานและลูซิเฟอร์คือคนละตัวกัน

       


              ที่จริงแล้วซาตานและลูซิเฟอร์เป็นคนละคนกัน หลักฐานก็คือในเรื่อง 7 บาปที่ไม่อภัยได้ มีตัวแทนของเทวทูตประจำแต่ละบาป ซึ่งซาตานและลูซิเฟอร์แยกประจำคนละบาปเลย ซาตานเป็นตัวแทนของความโกรธ ส่วนลูซิฟอร์เป็นตัวแทนของความเย่อหยิ่ง ส่วนสาเหตุว่าทำไมซาตานและลูซิเฟอร์ถึงกลายเป็นตัวเดียวกันก็เกิดขึ้นจากความไม่รู้ของคนนำเสนอ และประวัติของทั้งสองคล้ายกันมาก ประวัติซาตาน ว่ากันว่าซาตานคือเทพแพนหรือบาโพเมท บาโพเมทเป็นเทพแห่งความอุมสมบูรณ์ของสัทธิแพกินเป็นมนุษย์ประหลาดมีหัวเป็นแพะมีเขายาว และมีปีกนั่งอยู่บนแท่ง ความจริงแต่เดิมซาตานเป็นเทพ ชื่อแพน เป็นเทพหน้าแพะ The goat-god ให้พลังอำนาจแห่งความปรารถนา จนยากที่จะหยุดยั้งหรือควบคุม โดยเฉพาะความต้องการทางเพศอันรุนแรง ชาวกรีกแต่โบราณก็บูชาเทพองค์นี้ เพื่อขอให้ได้กำเนิดบุตร (เหมือนกับชาวอินเดียบางกลุ่มที่บูชาศิวลึงค์) อำนาจแห่งความลุ่มหลงในอารมณ์ใคร่ รสสัมผัสอันเย้ายวนของอิสตรี เป็นพลังมืดที่ซ่อนเร้นในจิตใจมนุษย์ และเทพบุตรแพนชอบที่จะดลจิตใจใฝ่ราคะนี้เข้าสู่มวลมนุษย์มากจนเกิดความวุ่นวายขึ้นในโลก จึงโดนลงโทษขับไล่ลงจากสวรรค์มาสร้างอาณาจักรใต้พื้นภิภพ อาณานิคมแห่งใหม่ ถูกขานนามว่า นรกนิเวศ์ เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณอันชั่วร้าย สะสมไว้ด้วยกองกิเลส บุคคลที่เต็มไปด้วย โลภะ โมหะ โทสะ จึงมักจะเดินทางไปสู่ปรโลกเสียส่วนมาก ประวัติลูซิเฟอร์ คำว่าลูซิเฟอร์นั้น เป็นคำละติน มาจากสองคำ คำว่า Lux ซึ่งแปลว่าแสงสว่าง และ Ferrer แปลว่าผู้นำมา หรือ ผู้ถือ ซึ่งถ้าเอามารวมกันก็จะแปลว่า "ผู้นำมาซึ่งแสงส่วง อดีตอัคระเทวฑูตองค์นี้ พระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมาจากแสงสว่างและให้ความเอ็นดูเป็นอย่างมากถือได้ว่า เป็นใหญ่รองมาจากพระเป็นเจ้า ถือได้ว่าเป็นอัคระเทวทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ทว่าด้วยความที่นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือใคร ทำให้ก่อกบฏหักหลังพระเป็นเจ้า และในที่สุดก็ตกจากสวรรค์ กลายมาเป็น "ปีศาจ" Isaiah 14:12: "How art thou fallen from heaven, O Lucifer, son of the morning,"ตามตำนานของชาวฮิบรูลูซิเฟอร์ ได้ถูกยุยงโดยซาตานอีกทีหนึ่ง (เห็นได้ว่าตำนานฮิบรู ลูซิเฟอร์ และซาตานเป็นคนละคนกัน) ตามตำนานของชาวคริสต์ ในคัมภีร์The Old Testamentได้แปลคำว่า Helel เป็นลูซิเฟอร์ และได้โยงกับปีศาจร้ายที่มีร่างเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ที่ลอบเข้ามาในสวนอีเดนและหลอกลวงอดัมและอีฟ จนกระทั่งในยุคกลาง นักบุญเจโรม (St.Jerome) หลวงพ่อในศาสนจักร คิดว่า ลูซิเฟอร์ ไม่ใช่ชื่อที่ดีสำหรับ "ปีศาจ" และได้เปลี่ยนมาเป็น "ซาตาน" จนในที่สุดทั้งสองก็ได้รวมมาเป็นคนเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในพระคัมภีร์บางทีก็ชื่อลูซิเฟอร์ บางทีก็ชื่อ "ซาตาน"

Monday, June 29, 2015

เปิดตำนานอันน่าสะพรึงกลัว "สาวปากฉีก" เเดนปลาดิบ !


ตำนานอันน่าสะพรึงกลัวที่เล่าขานสืบต่อกันสู่รุ่นของ ชาวญี่ปุ่น บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงนั้น ก็ยังไม่มีใครที่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าจริงหรือไม่จริงกันแน่ หนึ่งในตำนานของชาวญี่ปุ่น คือ "สาวปากฉีก" เป็นเรื่องที่ถูกเล่าต่อๆ กันมาจนจวบถึงปัจจุบันนี้ จะมีเรื่องราวเป็นชวนให้คุณหลอนจนต้องขนหัวลุกอย่างไง ต้องมาพิสูจน์กัน.....

 

"สาวปากฉีก" หรือที่คนญี่ปุ่นเธอเรียกว่า "คุชิซาเกะอนนะ (Kuchisake-onna)" เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกสามีผู้หึงหวงทำร้ายจนเสียอวัยวะ และต่อมากลายเป็นผีร้าย


ตำนานเรื่องสาวปากฉีก  เริ่มขึ้นในสมัยเฮอัง ว่า หญิงสาวคนหนึ่งเป็นภริยา หรืออนุภริยาซามูไร ของนายหนึ่ง แต่ไม่ซื่อตรงต่อสามี และเมื่อสามีรู้เข้าก็โกรธมาก จึงได้เอาดาบสับปากนางจนถึงใบหู แล้วพูดกับนางว่า "ดูเถิดคนเขาจะเห็นว่ามึงงดงามอยู่อีกหรือไม่" หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวผู้นั้นก็ตาย แต่เพราะใจมีความแค้นพยาบาทต่อสามี จึงไม่ไปผุดไปเกิด กลับกลายมาเป็นผีร้าย มาแก้แค้นสามี และหลอกหลอนผู้คน


 
เเล้วเรื่องน่าขนหัวลุก "สาวปากฉีก" มักเกิดขึ้นในยามวิกาล หากพบหญิงสาวคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นติดโรคของตัวไปด้วยเป็นต้น  ถ้าผู้หญิงผู้นั้นจะหยุดเดิน และถามเด็กว่า "ฉันสวยไหม" ถ้าบอกปัด หญิงนั้นจะล้วงกรรไกรออกมาตัดปากจนตาย เเต่ถ้าตอบรับ หญิงนั้นจะปลดหน้ากากอนามัยออก และยิ้มให้ดู เผยให้เห็นปากที่ถูกตัดจนถึงใบหู มีเลือดไหลท่วม ซึ่งเรียกว่า "รอยยิ้มแบบแกล็สโกว (Glasgow smile)"
แล้วถามต่ออีกว่า "แล้วตอนนี้ฉันสวยไหม" ถ้าบอกว่าไม่ หญิงผู้นั้นจะล้วงกรรโกรมาตัดกายเด็กเป็นสองท่อน แต่ถ้าตอบว่าใช่ หญิงผู้นั้นจะมอบความสวยงามให้แก่นั้นบ้าง โดยเอากรรไกรตัดปากเด็กจนถึงใบหูเสีย ซึ่งไม่อาจวิ่งหนีหญิงคนนั้นพ้นได้ เพราะหญิงสาวจะปรากฏต่ออีกจนกว่าจะได้ประทุษร้ายนั้นแล้ว



ในตำนานยังบอกอีกว่า ถ้าถูกสาวปากฉีกไล่ตาม และถูกถามว่า "สวยไหม" ก็ให้ตอบว่า "น่ารักสองครั้งติดๆ กัน" หญิงผู้นั้นก็จะเกิดอาการสับสน ก็ให้อาศัยจังหวะหนีไป ปล่อยให้หญิงปากฉีกครุ่นคิดอยู่หาคำตอบมิได้อย่างนั้น บางกระแสก็ว่า ให้ตอบ "ก็พอดูได้" หรือให้ถามกลับไปว่า "แล้วฉันล่ะน่ารักไหม" หญิงผู้นั้นก็จะได้งงงวยเช่นกัน หรือที่ให้ตอบว่า "ฉันกำลังหมั้นหมายอยู่" ก็มี การตอบเช่นนั้นแล้วหญิงสาวปากฉีกจะขอให้อภัยต่อการกระทำของนาง และขอตัวจากไป และที่ว่า ในขณะที่ถูกหญิงปากฉีกนั้นไล่ตาม ก็ให้โยนส้ม หรือโปรยลูกอมขนมหวานไป ก็เพราะว่าจะทำให้หญิงปากฉีกหันไปเก็บของเหล่านั้นแทนการตามเรา เปิดโอกาสให้หนีพ้นไปได้ก็มี



ตำนาน "รีสอร์ทร้าง" ในไต้หวัน ที่ซ่อนไปด้วยเรื่องเร้นลับสุดสะพรึง!!



เรื่องเล่าพื้นที่รีสอร์ทร้างในเมืองนิวไทเปที่ซ่อนไปด้วยเรื่องเร้นลับและความสะพรึงกลัว กับตำนานที่ล่ำลือว่าเป็นดินแดนต้องคำสาปที่ทำให้แผนความมั่งคั่งกลับกลายเป็นล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะมีบางอย่างที่ทำให้พบกับจุดจบเช่นนี้


          รีสอร์ทสุดหรูที่นักธุรกิจหลายคนวาดฝันไว้ว่าจะสร้างให้เสร็จเพื่อเป็นที่พักส่วนตัวที่สามารถพักผ่อนได้ในวันหยุด อย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนที่ชื่อว่า Hung Kuo Group ที่วางแผนจะสร้างรีสอร์ทสำหรับทหารอเมริกัน แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะเล่นตลกกับพวกเขา เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาสร้างรีสอร์ทไม่สำเร็จเสียที ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีคำล่ำลืออันสุดสยองขวัญว่าดินแดนในพื้นที่ที่ใช้สร้างรีสอร์ทนี้เป็นดินแดนที่ต้องคำสาป อีกทั้งมีคนงานหลายชีวิตที่ต้องพบจุดจบบนพื้นนี้แห่งนี้
 



          เริ่มแรกของเรื่องราวสุดลี้ลับนี้ เริ่มขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างในปี 1978 ในเมืองนิวไทเป ประเทศไต้หวัน เมื่อบริษัท Hung Kuo Group ได้สร้างรีสอร์ทที่มีทัศนียภาพที่งดงามและมีสวนน้ำตั้งเด่นตระหง่านอยู่ใจกลางของรีสอร์ท แต่หลังจากสร้างได้เพียงสองปี ทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักลงอย่างพิศวง เมื่อมีข่าวลือว่า รีสอร์ทแห่งนี้สร้างบนหลุมศพของทหารฮอลแลนด์ และมีคนงานหลายคนฝันเห็นทหารยุโรปในชุดโบราณเข้ามาทำร้าย ซึ่งระหว่างการก่อสร้างรีสอร์ทแห่งนี้ คนงานหลายคนได้รับอุบัติเหตุอย่างไม่หยุดหย่อนและมีคนงานอีกหลายคน ฆ่าตัวตายอย่างไม่มีสาเหตุ จึงทำให้การก่อสร้างต้องชะงักและสิ้นสุดลงเพราะเรื่องราวความหลอนและสยองขวัญที่เกิดขึ้นกับคนงานอย่างต่อเนื่อง




          ขณะที่ชาวเมืองใจกล้าจำนวนไม่น้อยพยายามเข้าไปสำรวจในรีสอร์ทสสุดหลอนแห่งนี้ โดยมีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งที่ดังกล่าวเคยเป็นที่อยู่ของมังกรจีนอันศักดิ์สิทธ์ ผู้ที่ไม่ชอบให้ใครมารบกวนเสียเท่าไหร่ และรีสอร์ทร้างแห่งนี้กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากมันมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจ ขณะที่รีสอร์ทนี้เคยมีการวางแผนเกี่ยวกับการอนุรักษ์รีสอร์ทแห่งนี้ไว้ แต่สุดท้าย มันก็ถูกรื้อถอนไปเมื่อปี ค.ศ. 2008



          ทั้งนี้ภาพบรรยากาศของรีสอร์ทแห่งนี้ ถูกใช้ในหนังและมิวสิควีดีโอหลายชิ้น โดยในปี ค.ศ. 2010 ที่แห่งนี้ถูกขายให้กับบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง และพวกเขากำลังวางแผนจะสร้างรีสอร์ทใหม่อีกครั้ง!!

10 ตานานผีเฮี้ยนในโรงเรียนของประเทศไทย




เราเคยได้ยิเนเรื่องราวตำนานของ 10 มหาวิทยาลัยผีดุกันไปแล้ว คราวนี้มาฟัง "10 ตำนานเฮี้ยน โรงเรียนผีดุที่สุดของประเทศไทย" กันบ้าง โดยเรื่องเล่าต่อไปนี้นั้นเป็นตำนานที่ยังคงถูกพูดถึงและบอกเล่ากันมาปากต่อปาก จะหลอนและน่ากลัวแค่ไหน ไปดูกันค่ะ



รูปประกอบ lgmobilelover.com/club/post205144.html

10. ครูนาฏศิลป์

เรื่องแรกเป็นเรื่องในโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพนี่เอง โดยนักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนมักจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “ครูวิภา” ครูสอนนาฏศิลป์ที่เคร่งครัด เข้มงวด ระเบียบต้องเป๊ะๆทุกอย่าง แถมยังเป็นครูที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการร่ายรำเป็นอย่างมาก จนมีวันหนึ่งที่ครูป่วยหนักจนถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ด้วยความรับผิดชอบและรักในอาชีพ ครูจึงหนีออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อที่จะมาฝึกซ้อมเด็กๆในการแข่งขันรำไทย ในคืนนั้นเองอาการของครูทรุดลงทำให้ต้องไปเอายาที่ลืมไว้ในห้องนาฏศิลป์ แต่โชคไม่ดี และไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เช้าวันต่อมามีคนพบศพของครูวิภาในห้องนั้น..เวลาผ่านไปทางโรงเรียนต้องการจะทุบห้องนั้นทิ้ง แต่ทุกครั้งที่มีคนเข้าไปพยายามย้ายของจะมีเสียงดนตรีไทย และมีคน(หรือผี) มารำอยู่ในห้องนั้นทุกวัน!! จนช่างไม่กล้าเข้าไปย้ายของ ปัจจุบันห้องนาฏศิลป์ของครูวิภาก็ยังอยู่เหมือนเดิม..




รูปประกอบ pantip.com/topic/31205008
9. ตำนานผีโบว์เขียว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด..ปกติโรงเรียนก็มักจะมีกฎให้นักเรียนหญิงผูกโบว์ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นสีดำ น้ำเงิน แต่มีนักเรียนหญิงคนนึงที่ผูกโบว์สีเขียวมาโรงเรียนทุกวัน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเธอ อยู่มาวันนึงเรื่องร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อพัดลมในห้องเรียนเกิดหล่นลงมาตรงที่ๆเธอนั่งพอดีทำให้เธอเสียชีวิตคาห้องเรียนแบบนั้น..เวลาผ่านไปเรื่องราวของเธอก็เงียบหายไปตามกาลเวลา จนมาถึงคาบเรียนของครูใหม่คนนึง ที่พอถามคำถามขึ้นและไม่มีใครตอบ จู่ๆ ครูก็พูดขึ้นมาว่า “อ่ะ โบว์เขียวตอบข้อนี้ซิ” นักเรียนที่อยู่ในห้องก็งงกันใหญ่ เพราะไม่มีใครผูกโบว์สีนี้ ครูก็ยังไม่หยุดชี้ไปที่หลังห้องบอกว่า “เด็กคนนั้นอ่ะ ที่อยู่หลังห้อง” พูดจบทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ!!



รูปประกอบ mansplat.wordpress.com/2013/08/11/ghost-shoes/
8. อาถรรพ์โรงเรียนประถม
โรงเรียนประถมแห่งนี้อยู่ใจกลางเมืองนนทบุรีที่มีเรื่องเล่ามากมาย ทั้งเรื่องกุมารทองของบรรณารักษ์ห้องสมุด ที่พอตอนเช้าทีไรห้องสมุดที่จัดไว้เรียบร้อยต้องถูกรื้อ ค้น หนังสือกระจัดกระจาย อยู่ๆหนังสือก็ตกลงมาจากชั้นโดยที่แถวนั้นไม่มีคนแถมยังมีเสียงวิ่งเล่นของเด็กมาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ และยังมีเรื่องห้องน้ำชายที่ถูกปิดตาย เพราะมีเสียงร้องไห้ปริศนา และมีคนเห็นวิญญาณของเด็กหญิงยืนร้องไห้สะท้อนกระจก!! แต่สุดท้ายก็ได้รู้ความจริงว่า ที่ดินตรงนี้แต่ก่อนเป็นโรงพยาบาลเก่า ขนาดพระยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นวิญญาณอาฆาตที่แรงกล้าของที่นี่




รูปประกอบ article.zubzip.com/topic/2341
7. รองเท้าส้นสูงในห้องน้ำหญิง
เรื่องนี้เป็นเรื่องของห้องน้ำหญิงบริเวณโรงอาหารของโรงเรียนหนึ่ง ที่มีเรื่องเล่ากันว่ามักจะได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงเดินวนไปวนมาในห้องน้ำอย่างไม่หยุดหย่อน เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของผู้หญิงที่เคยถูกฆ่าตายในห้องน้ำแห่งนี้ ซึ่งตอนนั้นเธอใส่รองเท้าส้นสูงอยู่ด้วย เลยทำให้ยิ่งเชื่อกันเข้าไปใหญ่ว่าวิญญาณของเธอยังไม่ไปไหน แต่ยังคอยวนเวียนอยู่ในจุดที่เธอตาย..



รูปประกอบ article.zubzip.com/topic/2341
6. ผีห้องพยาบาล
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของโรงเรียนชื่อดังแถวๆสยาม ที่เป็นแหล่งรวมเด็กเก่งทั้งหลาย เรื่องมีอยู่ว่าปกติเด็กๆที่ขี้เกียจเรียน อยากจะโดดเรียน ไม่ชอบเรียนวิชาไหนก็มักจะอ้างว่าปวดหัว ไม่สบายจนสุดท้ายต้องไปนอนที่ห้องพยาบาลใช่มั้ยคะ? แต่ที่โรงเรียนนี้คงจะทำอย่างนั้นได้ยาก เพราะมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าถ้าใครแอบป่วยไปนอนห้องพยาบาลล่ะก็จะเจอดี คือจะเห็นเท้าคนเดินมาแถวๆเตียงที่มีผ้ากั้นไว้ แต่กลับไม่เห็นเงาคน!! บ้างก็ได้ยินเสียงคนเดินแต่ไม่มีใครอยู่ในห้อง ทำเอาพวกเด็กแกล้งป่วยไม่กล้ามานอนห้องพยาบาลกันเลยล่ะค่ะ



รูปประกอบ travel.mthai.com/world-travel/38823.html
5. (ผี)คุณยายบนตึกเรียน
เป็นเรื่องราวที่นักเรียนเล่าต่อๆกันมา กับสิ่งที่ครูคนนึงได้เห็น..วันนั้นครูคนนี้มาโรงเรียนเช้าเลยยังไม่ค่อยมีคนมากนัก พอเดินไปถึงตึกจึงมองขึ้นไป กลับเห็นคุณยายแก่ๆคนนึงใส่ชุดออกจีนๆ ครูก็คิดในใจว่าเป็นผู้ปกครองของใคร? หรือมาหาใคร? จึงรีบเดินขึ้นตึก พอไปถึงชั้นกลับไม่พบคุณยายคนนั้นแล้วทั้งๆที่ทางขึ้น-ลงของตึกนี้มีอยู่ทางเดียว แค่คิดครูก็ขนลุกแล้วจึงตัดสินใจหันหลังเพื่อที่จะเดินต่อ..แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นยายคนนี้นั่งอยู่หน้าห้อง ครูจึงทำเป็นมองไม่เห็นและจะเดินเข้าห้องไป แต่ระหว่างที่เดิน ยายกลับหันคอตามครูไปจนเลือดค่อยๆไหลออกมาจากคอ ใบหน้าก็ยิ้มไปด้วย แล้วก็มีเสียงเอี๊ยดดดด!! ดังลั่นเหมือนเสียงกลอนประตู ครูจึงรีบวิ่งเข้าห้องและไม่หันกลับมาดู เหมือนเรื่องจะจบแล้วแต่พอนเย็นครูก็ได้ยินข่าวว่าแม่ของ ผอ. โรงเรียนตกบันไดคอหักเสียชีวิต เมื่อไปเห็นรูปก็ถึงกับช็อค เพราะคือคุณยายที่ครูเห็นตอนเช้านั่นเอง!!



รูปประกอบ http://www.youtube.com/watch?v=7j0_1b9a45A
4. หลอน ณ อาคาร 6
เป็นเรื่องของโรงเรียนชื่อดังย่านปากเกร็ด นนทบุรี ที่ว่ากันว่าแต่ก่อนเคยเป็นศาลาพักศพมาก่อน จึงทำให้ทุกวันอังคารจะต้องมีการทำบุญตึก เพราะมีเรื่องราวหลอนๆเกิดขึ้นอยู่ตลอด เคยมีครูคนนึงทำงานเลิกดึก พอเดินลงมากลับเห็นเด็กใส่ชุดนักเรียนนั่งอยู่บนป้ายตรงทางเดิน ครูจึงเข้าไปถามว่า เป็นอะไร ทำไมยังไม่กลับบ้าน แต่พอเด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นครูก็ตกใจจนร้องไม่ออก เพราะน้ำตาของเด็กคนนั้นไหลออกมาเป็นเลือด แถมป้ายที่นั่งอยู่ก็ติดกับผนังไม่มีทางที่คนจะนั่งตรงนั้นได้ ครูเลยต้องรีบวิ่งกลับบ้านไป เรื่องไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเคยมีเด็กที่มาเช้าๆ นั่งรอเพื่อนในห้องอยู่ดีๆก็มีเด็กหญิงใส่ชุดนักเรียนเดินเข้ามา แต่หน้าไม่คุ้น ถึงถามว่าชื่ออะไรหรอ ทำไมมาเช้าจัง? เด็กคนนั้นไม่ตอบกลับร้องไห้และวิ่งออกไปตรงระเบียงพร้อมกลับกระโดดลงไป!! เมื่อวิ่งตามไปดูกลับไม่เห็นร่างของใครทั้งนั้น เลยว่ากันว่าเป็นวิญญาณของรุ่นพี่ที่เคยกระโดดตึกฆ่าตัวตายนั่นเอง



รูปประกอบ www.creditonhand.com

3. ผีเหรียญในโรงเรียน
คงไม่แปลกที่ใครจะอยากลองเล่นผีถ้วยแก้วเพื่อลองดีในโรงเรียน แต่เมื่อฟังเรื่องนี้แล้วหลายคนอาจจะกลัวจนไม่กล้าเล่นก็ได้ เป็นเรื่องของห้องดนตรีไทยที่ถูกปิดตาย ที่ว่ากันว่าใครเดินผ่าน ใครไปส่องดูต้องเจอดีอยู่บ่อยๆ เลยทำให้เด็กกลุ่มหนึ่งอยากลองของเลยไปเล่นผีเหรียญในห้องนั้นดู ตอนแรกๆก็คิดว่าคนเป็นคนผลักเหรียญ หลังๆเริ่มน่ากลัวขึ้นจนเพื่อนคนนึงในกลุ่มลงไปนอนชักอยู่กับพื้น ที่เหลือจึงตะโกนเรียกเพื่อนที่รออยู่ข้างนอกให้เข้ามาช่วยแต่ก็ไม่มีใครเข้ามา จู่ๆ ลมพัดมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ทำเอาประตูหน้าต่างชนกันดังปังๆๆ จึงรีบวิ่งไปเปิดประตูแต่เปิดยังไงก็ไม่ออก จึงพากันยกมือไหว้ขอขมา ขอโทษที่เข้ามาลบหลู่ ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย..เพื่อนที่รอยู่ข้างนอกก็ตกใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เรียกให้ช่วย ทั้งๆที่ข้างในตะโกนกันแทบตาย แต่ข้างนอกได้ยินแต่เสียงหัวเราะ!!




รูปประกอบ board.postjung.com/743718.html

2. เรื่องของตึก 2
โรงเรียนมัธยมวัดพระศรีมหาธาตุ ที่มีตึกสุดหลอนที่เด็กๆเล่ากันมาจนหลอนนั่นก็คือตึก 2 ที่เมื่อก่อนมีลิฟท์แต่จู่ๆก็เลิกใช้กันโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ แต่จริงๆทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าลิฟท์ตัวนี้มันไม่ธรรมดา เพราะเคยมีคนงานก่อสร้างตายขณะที่กำลังติดตั้งลิฟท์ตัวนี้อยู่ คนเลยมักเจอเรื่องแปลกๆบ่อย ทั้งเงาประหลาด เสียงกรีดร้อง และมือผีที่โผล่ออกมาให้เห็นกันจะๆ เรื่องของตึก 2 ยังไม่หมด เพราะมีเรื่องของห้องน้ำที่ตอนเย็นๆใครเข้าไปใช้งานมักจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนเข้าห้องน้ำห้องข้างๆอยู่ตลอดเวลาทั้งๆที่ไม่คน!! แถมยังเคยมีคนเห็นเงาคนต่อคิวทั้งๆที่ออกมาก็ไม่มีใคร เสียงเปิด-ปิดประตูที่ดังปึ้งปั้งๆ ทั้งๆที่ไม่มีคนอยู่ ทำเอาคนไม่กล้าเดินผ่านห้องน้ำคนเดียวเลย




รูปประกอบ www.bloggang.com/
1. ใครในห้องสมุด
เป็นเรื่องของห้องสมุดในโรงเรียนชื่อดังที่ว่ากันว่ามีเรื่องเฮี้ยนเรื่องหลอนให้เล่ากันได้ทุกวี่ทุกวัน คนที่เจอบ่อยสุดคงหนีไม่พ้นบรรณารักษ์ที่นั่งๆอยู่ก็จะเห็นเงาดำๆอยู่บริเวณมุมมืดของห้องสมุดแต่พอเดินไปดูกลับไม่มีใคร กลับมานั่งก็ได้ยินเสียงคนคุยซุบซิบกัน เสียงวางหนังสือ ทั้งๆที่ในห้องนั้นไม่มีใคร..บางครั้งตอนเช้าพอเปิดห้องสมุดมากลับมีรอยเท้าเดินทั่วห้องสมุดทั้งๆที่ก่อนจะปิดห้องก็ทำความสะอาดอย่างดีแล้ว ทำเอางงกันไปหมด!! อีกเรื่องที่เป็นตำนานก็คือเรื่องของบัตรยืมห้องสมุดของอดีตนักเรียนคนนึงซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่กลับมีคนเห็นบัตรยืมของเค้าไปตกอยู่ตรงมุมมืดที่ไม่ค่อยมีใครเข้าไปใช้งานบ่อยๆ ขนาดทุกวันนี้ยังมีคนเอาบัตร(ผี)ใบนี้มาคืนอยู่บ่อยๆ จนบรรณารักษ์หลอนกันไปหมด

Sunday, June 28, 2015

ตำนานพระแก้วมรกต์





ประวัติพระแก้วมรกต พระมหามณีรัตนปฏิมากร
                พระแก้วมรกต คือ พระพุทธรูปสร้างจากก้อนแก้วมรกต มีความสวยงามศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยเรา มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจยิ่งทั้งในด้านประวัติศาสตร์จะได้ทราบเรื่องราวระหว่างช่วง พ.ศ.1200 กว่าลงมาจึงถึงปัจจุบัน
                ทำให้เราได้รู้ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยที่อยู่ในดินแดนแหลมทองก่อนยุคสมัยสุโขทัย พ.ศ. 1800 ที่แผ่นดินผืนนี้ชนชาติไทยได้ตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ ในยุคสมัยทราวดีศรีวิชัย
                พงศาวดารตำนานต่างๆ ที่องค์พระแก้วมรกตได้ไปโปรดทั่วทุกภาคและประเทศเพื่อนบ้าน ดังนักประวัติศาสตร์โบราณคดีได้สละแรงกาย แรงใจ ค้นคว้า ข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาเผยแพร่แก่อนุชนรุ่นหลังให้ได้รับทราบข้อเท็จจริง
                ประวัติการสร้างพระแก้วมรกต
                สมัยเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในดินแดนภาคใต้ที่นครศรีโพธิ์ (โพธิ์) ไชยา นครตามพรลิงค์ที่นครศรีธรรมราช และนครพานพาน ที่ตำบลเวียงสระปัจจุบัน ระหว่าง พ.ศ. 900-1400 คนไทยที่เขียนตำนานได้ให้พระนามพระมหากษัตริย์ในนครเหล่านี้ว่า “พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช” เหมือนกันหมด เพราะพระองค์ท่านเหล่านี้ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างพระเจ้าศรีธรรมโศกราช (อินเดีย) ตำนานไทยจึงเรียกนครของพระศรีธรรมาโศกราชในแดนไทยว่า นครปาตลีบุตร ด้วย ในลายแทงเจดีย์วัดแก้วไชยากล่าวไว้ว่า
                “เจดีย์วัดแก้ว ศรีธรรมาโศกสร้างแล้วแลเห็นเรืองรอง สี่เท้าพระบาท เหยียบปากพะเนียงทอง ผู้ใดคิดต้องกินไม่สิ้นเลย” แสดงว่าคนไทยโบราณเรียกกษัตริย์ของตนเองว่า “ศรีธรรมาโศก” ซึ่งครองนครปาตลีบุตรในโคลงยอพระเกียรติพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรีของนายส่วนมหาดเล็กแต่งไว้ ได้กล่าวถึงเมือง “ปาตลีบุตร” มีว่า
                ปางปาตลีบุตรเจ้า                   นัครา
                แจ้งพระยศเดชา                     ปิ่นเกล้า
                ทรนงศักดิ์อหังกา                  เกกเก่ง  อยู่แฮ
                ยังไป่ประนตเข้า                    สู่เงื้อมบทมาลย์
                เจ้าปาตลีบุตรนั้น                   อัปรา ชัยเฮย
                ไปสถิตเทพาพา                      พวกแพ้
                หนีเข้าพึ่งตนนา                      ทัพเล่า
                ทัพราชรีบรมแหร้                  แขกม้วยเมืองทลาย
                จะเห็นได้ว่าบทโคลงในสมัยนั้นเรียกเมืองนครศรีธรรมราชว่าเป็น “นครปาตลีบุตร”
                จากจดหมายเหตุการณ์ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุอิจิงที่มาแวะพัก จารึกปฏิบัติธรรมที่นครโพธิ์ ซึ่งในภาษาจีนเรียกว่า “ฮุดซี” เมื่อ พ.ศ. 1214-1238 แล้วเดินทางจากเมืองท่ากาจา (ไทรบุรี) ไปอินเดีย เมื่อท่านเดินทางกลับจากอินเดีย พ.ศ. 1232 ปรากฏว่ารัฐต่าง ๆ ในแถบทะเลใต้มีรัฐพานพาน (เวียงสระ) รัฐไฮลิง (ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช) ปองพอง (ปาหัง) กิลันตัน (กลันตัน) ปลึกฟอง (ปาเลมบัง) และรัฐอื่น ๆ อีก 10 รัฐ เข้ารวมกันเป็นประเทศ ซีหลีฮุดซี หรือที่ท่านเซเดส์เรียกว่า “ศรีวิชัย” มีพระอินทรวรมเทวะเป็นประมุข
                ในตำนานพระแก้วมรกตของไทย กล่าวถึงพระมหากษัตริย์และพระราชบุตร ที่ร่วมสร้างพระแก้วมรกตถวายพระนาคเสน คือพระอินทร์กับพระวิษณุกรรมเทพบุตร ได้ชวนกันไปหาก้อนแก้วมรกตจากเขาเวบุลบรรพต คนไทยโบราณหมายถึงแดนยูนาน(น่านเจ้า) มาแปลงเป็นพระแก้วมรกตสำเร็จในเวลา 7 วัน นามพระมหากษัตริย์ทั้งสองนี้ เป็นพระนามจริงในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรศรีวิชัย
                ตามประวัติศาสตร์อาณาจักรศรีวิชัย กษัตริย์ที่ครองเมืองระหว่าง พ.ศ. 1230-1270 ทรงพระนามว่า พระอินทร์บรมเทพ มีนามเป็นภาษาสันสกฤตว่า ศรีนทรวรมเทวะ พระองค์ได้ส่งพระราชบุตรพระวิษณุไปถวายบังคมพระเจ้ากรุงจีนในปี พ.ศ. 1267 จากพงศาวดารราชวงศ์สูงของจีน บันทึกไว้ว่า
                “ปี พ.ศ. 1267 มีพระราชกุมาร (กิวโมโล) มาจากประเทศซีหลีฮุดซีมาถวาย คนเงาะชายสองหญิงหนึ่งคนและนักดนตรีคณะหนึ่งกับนกแก้วห้าสีหลายตัว พระเจ้ากรุงจีนตั้งให้พระราชกุมารเป็นนายพลในกองทัพจีนและพระราชทานผ้าแพรหนึ่งร้อยม้วนและถวายตำแหน่งอ๋องให้แก่เจ้าเมืองซีหลีฮุดซี พระนามว่า เช ลี โตเลปะโม” คำนี้เป็นภาษาจีนคือ ศรีน-ทะระ-วรมะ ในภาษาสันสกฤต
                จากศิลาจารึกอาณาจักรศรีวิชัย พ.ศ. 1318 พบที่วัดเวียงไชยา ของพระวิษณุ เสวยราชระหว่าง พ.ศ. 1270-1330 จารึกด้านหน้านามพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง ชื่อศรีวิชเยศวรภูบดี ทรงสร้างปราสาทอิฐขึ้น 3 ปราสาท คือ ปราสาทอิฐวัดหลง  ปราสาทอิฐวัดแก้ว  ปราสาทอิฐวัดเวียง
                เป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์วัชรปาณี สร้างอุทิศให้แก่พระอัยการผู้สร้างพระนครนี้อยู่ปราสาทองค์ทิศเหนือ
                ปราสาทองค์ทิศใต้ ประดิษฐานพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี อุทิศให้พระอินทร์พระราชบิดา
                ส่วนปราสาทองค์กลาง ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
                ด้านหลังแผ่นศิลาจารึก ลงนามผู้สร้างจารึกนี้นามว่าพระวิษณุ (วิษฺณวาชโย) เป็นประมุขไศเลนทร์วงศ์
                จากศิลาจารึกนี้ ทำให้เราทราบถึงอาณาจักรศรีวิชัย และพระวิษณุเป็นกษัตริย์ครองนครโพธิ์องค์ที่ 3 พระองค์ทรงสร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเนื้อสำฤทธิ์ขึ้นสององค์ คือ พระโพธิสัตว์ปัทมาปาณีกับพระโพธิสัตว์วัชรปาณี ซึ่งมีพุทธลักษณะงดงามมาก
                องค์ใหญ่มีเครื่องประดับน้อย ซึ่งสร้างก่อนองค์เล็กที่มีเครื่องทรงประดับวิจิตรงดงาม สร้างอุทิศให้พระอัยกาและพระบิดาตามวัฒนธรรมไศเลนทร์ ตามความเชื่อของคนโบราณในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์สำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
                พระมหากษัตริย์องค์ใดที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป เมื่อสวรรคตแล้วจึงมีการสร้างเจดีย์เป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระนางจามเทวี หรือการสร้างพระพุทธรูปอุทิศถวายเพื่อเป็นความหมายของนิพพานธรรม เช่น พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
                ในตำนานพระแก้วมรกตและประวัติศาสตร์ศรีวิชัยกล่าวไว้ว่านครโพธิ์เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพระอินทร์และพระวิษณุในการหล่อพระโพธิสัตว์วัชรปาณีด้วยฝีพระหัตถ์ของพระวิษณุเทพบุตร ซึ่งเป็นกษัตริย์จึงทำตรีเนตรเป็นตุ่มเล็กๆ ระหว่างพระเนตรของพระพุทธรูป อุทิศให้กับพระอินทร์พระราชบิดา ตุ่มนี่จึงเป็นความหมายของท้าวสามตาพระอินทร์
                องค์พระแก้วมรกต ที่พระวิษณุกรรมสร้างให้เป็นตัวแทนของพระมหาธรรมรักขิต ซึ่งเป็นพระอรหันต์ก็เป็นตรีเนตรแต่เดิมฝังเพชรเม็ดเล็กไว้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ถวายเพชรเม็ดใหญ่ เปลี่ยนเพชรตรีเนตรแบบศรีวิชัยออก
                เมื่อพระวิษณุสวรรคต มีผู้สร้างพระโพธิสัตว์แทนพระองค์ท่านขึ้นที่เมืองไชยา เป็นพระโพธิสัตว์มี 4 กร ด้วยที่ท่านมีพระนามในศิลาจารึกว่า พระวิษณุ จึงสร้างพระนารายณ์แทนองค์ท่าน แต่ไม่มีเครื่องหมายตรีเนตรเพราะคนสร้างมิได้เป็นกษัตริย์หรือองค์เจ้า
                ในปลายรัชกาลพระอินทร์ พระวิษณุราชบุตรได้ร่วมกันสร้างพระแก้วมรกตขึ้น เมื่อประมาณ พ.ศ. 1260-1270 ที่นครโพธิ์ไชยา ส่วนพระภาณุโอรสของพระอินทร์อีกพระองค์หนึ่งได้ไปปกครองเกาะชวา เป็นปฐมวงศ์ของไศเลนทร์วงศ์อีกสาขาหนึ่งที่ได้สร้างเจดีย์บรมพุทโธเจดีย์ปะวน เจดีย์มณฑปในเกาะชะวา เป็นศิลปของพระพุทธศาสนาตราบเท่าทุกวันนี้
                ตำนานพระแก้วมรกต กล่าวถึงพระมหากษัตริย์นครปาตลีบุตร ต่อจากพระวิษณุกรรม คือพระราชาธิราชบุนดะละและพระเจ้าดะกะละ (หลานของพระเจ้าบุนดะละ) แล้วถึงพระศิริกิตติกุมาร ในรัชกาลของพระศิริกิตติ เกิดศึกสงครามคนล้มตายเป็นอันมาก พวกข้าปฏิบัติรักษาพระแก้วมรกต เห็นเหตุการณ์ไม่ดี กลัวพระแก้วจะเสียหาย จึงอัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นสู่เรือสำเภาลำหนึ่งพร้อมกับพระธรรมปิฏก พากันหนีไปสู่กัมโพชวิสัย คือ ลังกาทวีปที่นครศรีธรรมราช
                ตามตำนานพระแก้ว กษัตริย์ที่ครองนครโพธิ์ รหือนครปาตลีบุตรเป็นลูกหลานกษัตริย์ของพระเจ้ากรุงทวาราวดีที่อู่ทอง พ.ศ. 1100-1200
                ในประมาณ พ.ศ. 1180 พระเจ้าอนุรุธกษัตริย์มอญได้ยกกองทัพมาตีกรุงทวาราวดี ลูกหลานของพระเจ้ากรุงทวาราวดีพวกหนึ่งอพยพลงมาตั้งนครโพธิ์ที่ไชยา
                อีกพวกหนึ่งไปตั้งนครละโว้ ขึ้นเป็นเมืองหลวง พระเจ้ากรุงละโว้ได้ส่งพระนางจามเทวีไปครองนครหริภุญชัย เมื่อประมาณ พ.ศ.1205
                ต่อมาถึง พ.ศ. 1400 พระเจ้าศิริกิตติได้ยกกองทัพไปยึดนครละโว้ (จากตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์จามเทวีวงศ์ได้กล่าวไว้) ทางนครปาตลีบุตร เกิดการแย่งชิงราชสมบัติขึ้นมีผู้เกรงพระแก้วมรกตจะเสียหายจึงได้ลักลอบพาลงเรือไปนครศรีธรรมราช ซึ่งมีกษัตริย์ไศเลนทร์วงศ์องค์หนึ่งปกครองอยู่พุทธศาสนานครนี้ก็เจริญรุ่งเรือง
                จากพงศาวดารเหนือของไทยเขียนไว้ว่า พระเจ้าอนุรุธ กษัตริย์องค์ปฐมวงศ์ของมอญเป็นผู้ตั้งจุลศักราชขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1181 เมืองต่าง ๆ ของคนไทยทางแดนล้านนาตกอยู่ ภายใต้การปกครองของมอญและพม่าเป็นเวลานานมาก จนนิยมใช้จุลศักราช กษัตริย์ในดินแดนล้านนาไปชุมนุมกันทั่วล้านนา ยกเว้นแต่กษัตริย์ที่นครหริภุญชัยและสวรรคโลก
                พอตั้งจุลศักราชได้ปีเดียวพระเจ้าอนุรุธก็สวรรคต พระเจ้ากากวรรณดิศราชโอรสพระเจ้าอนุรุธยกทัพมาตีเมืองละโว้ถึง 7 ปี แล้วมาตั้งพระประโทนเจดีย์ที่นครปฐม เมื่อ พ.ศ. 1199
                ตำนานไทยโบราณเรียกนามกษัตริย์ทางดินแดนมอญว่าพระเจ้าอนุรุธไปทุกพระองค์หลายยุค เหมือนตำนานไทยเรียกพระเจ้าแผ่นดินทางไชยาเวียงสระนครศรีธรรมราชว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เรียกกษัตริย์ทางกรุงสุโขทัยว่า พระร่วงไปทุกพระองค์ ตำนานพระแก้วมรกตฉบับของ ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวไว้ว่า พระเจ้าอนุรุธที่ไปชิงพระแก้ว เป็นลูกหลานของพระเจ้าอนุรุธที่ตั้งจุลศักราช
                ดินแดนของไทยที่อยู่ตั้งแต่เชียงแสนไปกำแพงเพชรละโว้ อโยธยา ไชยา นครศรีธรรมราช ตลอดเวลาสองพันปีที่คนไทยได้เขียนตำนานเล่าไว้เป็นความจริงทั้งสิ้น แต่เราไปเชื่อประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งเขียนไว้ว่า ตำนานที่คนไทยเขียนไว้เป็นนิยายไม่มีความจริงทางประวัติศาสตร์
                ดินแดนแห่งนี้มีการรบมุ่งกับพวกมอญทางด้านตะวันตกและเขมรทางดินตะวันออก ผลัดกันแพ้ชนะกันมาหลายยุคหลายสมัย คนไทยโบราณที่อยู่ทางล้านนาเรียกว่าพวกโยนกคนไทยโบราณที่อยู่ทางละโว้ อโยธยา ไชยา นครศรีธรรมราช เรียกว่า พวกกัมโพช (หมายถึงชาวใต้ในสมัยต่อมาเมื่อคนไทยที่มีมารดาเป็นเขมรมีอำนาจมาก ไทยเหนือเลยเรียกไทยใต้ว่า เป็นพวกขอมไปหมด)
                ตำนานต่าง ๆ ของไทยและพงศาวดารเหนือ จดเรื่องก่อนสมัยตั้งกรุงอโยธยาที่หนองโสน ล้วนเป็นเรื่องของไทยกัมโพชหรือไทยไศเลนทร์ มาตั้งนครที่สวรรคโลก กำแพงเพชร ละโว้ อโยธยา ไชยา นครศรีธรรมราช
                คนไทยที่สร้างพระแก้วมรกตเรียกตัวเองในศิลาจารึกว่า ไศเลนทร์วงศ์ ตำนานพระแก้วมรกตเรียกเมืองนครศรีธรรมราชว่าลังกาทวีปกัมโพชวิสัยปาตลีบุตร
                ลังกา หมายถึง เมืองที่มีพระไตรปิฏกของชาวกัมโพช เมืองที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างชมพูทวีป คือ เมืองนครศรีธรรมราช
                ตามตำนานพระแก้วมรกตว่า พระเจ้าอนุรุธได้ยกกองทัพม้ามาเอาพระแก้วมรกตที่ลังกาทวีป (ตามตำนานจะเป็นเกาะลังกาของชาวสิงห์ไม่ได้ เพราะมาทางบกจากเมืองมอญลงมาทางใต้ต้องเป็นเมืองพระไตรปิฏกที่นครศรีธรรมราช) แล้วนำพระไตรปิฏกกับพระแก้วมรกตลงเรือนำกลับเมืองมอญ แต่เรือสำเภาพระแก้วมรกต พวกไศเลนทร์วงศ์ได้ปลอมปนลงมาบนเรือสำเภาแล้วประหารพวกมอญที่ควบคุมอยู่จากนั้นก็นำเรือสำเภาพระแก้วมรกตเข้าปากน้ำปันทายมาสหนีไปยังนครอินทปัตรได้
                นครอินทปัตในตำนานพระแก้วมรกต เป็นนครของไศเลนทร์วงศ์ที่ได้นางเขมรเป็นมเหสี ทางเขมรถึงว่า ถ้ามารดาเป็นเขมร ต้องเป็นเขมร
                ต้นราชวงศ์เขมร คือ พราหมณ์กัมพู มาได้นางเขมรเป็นมเหสีลูกหลานของพราหมณ์กัมพูก็ต้องเป็นเขมรที่เรียกกันว่า พวกเจนละ
                จนมาถึงสมัยพระอุทัยราช ได้นางนาคเป็นมเหสี เป็นธรรมเนียมของกษัตริย์ไศเลนทร์ที่ปกครองพระนครวัด ต้องมีมเหสีเป็นเขมร มิฉะนั้นพรรคพวกพระยานาคจะก่อการกบฏ พระนางมีโอรสออกมาเป็นฟอง ต้องนำไปทิ้ง พระคงเคราเมืองละโว้ได้เก็บไปเลี้ยงไว้ ภายหลังได้เป็นพระร่วงเมืองละโว้
                โอรสของนางนาคอีกพระองค์หนึ่งเป็นมนุษย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 5 (นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเรียก ยโศวรมเทวะ ระหว่าง พ.ศ. 1432-1453) มีอำนาจมากได้ปราบปรามหัวเมืองใกล้เคียงอยู่ในอำนาจดินแดนไทยเมืองหลายแห่งต้องส่งส่วยให้พระองค์
                เมื่อพวกไศเลนทร์จากนครศรีธรรมราช นำเรือสำเภาพระแก้วมรกตเข้ามาถึงนครอินทรปัตในปลายรัชกาลพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ พระองค์ทรงโสมนัสปลื้มปิติในองค์พระแก้วมรกตมาก ทรงถวายพระนครของพระองค์ให้แก่พระแก้วมรกต หลังจากสมโภชแล้วก็ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ พระองค์ก็ปฏิบัติบูชาพระแก้วมรกตเป็นประจำมิได้ขาด พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองไปทั่วสกลทวีป มีชัยเหนือศาสนาพราหมณ์ในทั่วดินแดนพระนครอินทรปัต
                เมื่อพระองค์ยกปราสาทราชวังถวายแก่พระแก้วมรกตเป็นพระนครวัดแล้ว พระองค์ก็ไปสร้างพระนครหลวงใหม่ ที่ยโศธร ปุระ โดยเอาภูเขาพนมบาแค็ง (ผาแค็ง) เป็นใจกลางของพระนครหลวง ต่อมาลูกหลานขอมทุกยุคทุกสมัย จึงยกย่องพระองค์เป็นเทพเจ้าประจำยโศธรปุระเมืองพระนครหลวง
                ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 พ.ศ.1656-1695 ได้ทรงสร้างปราสาทนครวัดตรงพระนครที่พระปทุมสุริยวงศ์ ถวายแก่พระแก้วมรกตสร้างเป็นปรางค์ขอม มีเก้ายอดเป็นสัญลักษณ์แสดงว่า กษัตริย์ผู้ทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองเข้าถึงพระพุทธศาสนาเสมือนผู้บรรลุนิพพานธรรม
                ยอดกลางสูงสุดหมายถึงพระนิพพาน ยอดสี่ยอด ยอดอีกสองชั้น แสดงถึงมรกต 4 ผล 4 ยอดปรางค์ ทำเป็นฉัตรหลายชั้น ฉัตรแต่ละชั้นประดับด้วยกลีบบัวเหมือนฝักข้าวโพดยอดปราสาทนครวัดทั้งเก้ายอดปิดทองเหลืองอร่ามไปหมด ตามแบบไศเลนทร์
                ปราสาทใหม่ที่พระระเบียงวิหารคดของปราสาทนครวัดสลักเป็นภาพ นรก สวรรค์ ตามคัมภีร์ไตรภูมิ แสดงให้เห็นว่าปราสาทนครวัด เป็นปรางค์ของฝ่ายพระพุทธศาสนามีภาพสลักเป็นเรื่องรามเกียรติ์มหาภารตะ เพื่อยกย่องพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์เป็นกษัตริย์ที่ทรงธรรมและมีฤทธิ์อำนาจเหมือนพระนารายณ์ ตอนสมัยท่านมีชีวิตอยู่พระองค์ชอบมานั่งวิปัสสนาในปราสาทพระแก้ว เมื่อพระองค์สวรรคตแล้วก็บรรจุอัฐิของท่านไว้ที่นี้ด้วย ลูกหลานของท่านทุกพระองค์จึงนิยมไปนั่งวิปัสสนาที่นครวัด
                พงศาวดารกรุงกัมพูชา เล่าถึงตอนที่พระแก้วมรกตอยู่ในนครอินทรปัตได้ถูกต้องกว่าฉบับอื่น ๆ ว่าพระแก้วมรกตเข้ามาในรัชกาลของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ จนถึงรัชกาลที่ 6 พระทะเมิญชัย จึงได้โปรดให้นำพระไตรปิฏกที่ติดมากับเรือสำเภาพระแก้วมรกต ส่งคืนไปให้พระเจ้าอนุรุธ แต่องค์พระแก้วมรกตไม่ยอมคืนให้
                ตามตำนานพระแก้วมรกต เขียนไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอนุรุธไม่ได้พระแก้วมรกต ก็ได้ติดตามปลอมเป็นราษฎรไปสืบเรื่องพระแก้วมรกต เมื่อรู้ว่าพระแก้วมรกตตกไปอยู่ในเมืองอินทรปัต พระองค์ก็ไม่กล้าตามไปแย่งเอามา เพราะเมืองอันทรปัตตอนนั้นมีพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์กษัตริย์ผู้เรืองอำนาจมีพระเดชานุภาพมาก
                ต่อมามีลูกหลานของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ปกครองตั้งแต่ พ.ศ. 1453-1471 อีก 6 พระองค์ จนประมาณ พ.ศ. 1471 พวกเจ้านายเขมรได้มาแย่งชิงเมืองได้ (พงศาวดารกัมพูชาว่าเป็นราชวงศ์ใหม่ตั้งนครหลวงที่โคห์แกร์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)
                มีการกวาดล้างพวกเจ้านายขอม จนบางพวกต้องหนีไปพึ่งพวกไศเลนทร์วงศ์ที่เมืองละโว้
                ในรัชกาลพระเสนก โอรสของพระเสนกเลี้ยงแมลงวันเขียวถูกแมงมุมเสือของบุตรปุโรหิตเขมรที่เลี้ยงไว้กินแมลงวันเขียวของพระโอรส พระเสนกให้ทหารไปจับบุตรของปุโรหิตไปถ่วงน้ำ เพราะเหตุว่าพระเสนกไม่ทรงธรรม พวกเขมรจึงชวนกันก่อการกบฏปราบขอม พระเถระต้องพาพระแก้วมรกตหนีไปอยู่ที่ปราสาทตาแก้ว ซึ่งมีพวกไศเลนทร์อยู่
                ข่าวการเกิดจลาจลในนครอินทรปัตทราบไปถึง พระเจ้าอาทิตย์ราช ซึ่งครองราชย์สมบัติในกรุงอโยธยาปุระในลุ่มน้ำเจ้าพระยา พระอาทิตย์ราชเป็นห่วงพระแก้วมรกต เกรงพวกเขมรที่นับถือพระศิวะจะทำลายเสีย แล้วตั้งศิวลึงค์แทน จึงรีบยกทัพพร้อมด้วยจัตุรงคเสนา ทะแกล้วทหารเป็นอันมากไปเอาพระแก้วมรกตมาไว้ตั้งแต่รัชกาลพระเสนก พ.ศ.1545 แล้วกวาดต้อนผู้คนที่รักษาพระแก้วมรกตเป็นอันมาก แล้วเสด็จกลับมายังกรุงอโยชฌ ปุระที่หนองโสน
                ตามตำนานพระแก้วมรกตและตำนานไทย กล่าวว่าพระอาทิตยราชนี้เป็นกษัตริย์ไทย ลูกหลานของพระอินทร์ผู้สร้างพระแก้วมรกตในสมัยพระเจ้าศิริธรรมราชได้ยกกองทัพบก กองทัพเรือมายึดนครละโว้ไว้ได้ในปี พ.ศ. 1400
                ต่อมาประมาณ พ.ศ. 1417 กษัตริย์ขอมที่เมืองพระนครอินทรปัตถูกกวาดล้าง
                ธิดาของพระอินทรวรมัน พี่น้องของพระเจ้าปทุมสุริยะวงศ์มาเป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงละโว้พระองค์หนึ่ง มีพระโอรสเป็นพระอาทิตยราช ต่อมาได้ย้ายพระนครจากละโว้กลับมายังนครอโยชฌ ปุระโบราณ ตรงเมืองอู่ทอง
                แต่นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเขียนประวัติศาสตร์เขมรว่า เป็นพระสุรยวรมเทวะ (สุรยวรมันที่ 1) เป็นกษัตริย์เขมรในเมืองพระนคาอินทรปัต ปี พ.ศ. 1545-1592 ได้มาแย่งราชสมบัติจากราชวงศ์เดิมได้ มีอาณาเขตกว้างขวางตลอดดินแดนไทยทั้งหมด เพราะเป็นโอรสของพระเจ้ากรุงตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) และเข้ามาครองกรุงกัมพูชา โดยอ้างพระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 มีสิทธิ์ในราชบัลลังค์นี้ จึงปราบไปทั่วเกือบหมดแดนกัมพูชาโบราณสถานที่สร้างในสมัยพระองค์ มีปราสาทพิมานากาศปราสาทตาแก้วและปราสาทเขาพระวิหารสมัยสุริยวรเทวะคนในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำตาปีใช้คำว่า “สุริยงศ์” เข้ามาแทนคำว่า “ไศเลนทร์”
                ประมาณ พ.ศ. 1595 พระอาทิตยราชสวรรคตพระยาจันทโชติอำมาตย์ พระสามีของเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาจันทร์เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา เนื่องจากไม่มีโอรสสืบวงศ์ เจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์พระธิดาในสุริยวงศ์ ซึ่งมีสิทธิในราชบัลลังค์พระสามีพระเจ้าจันทโชติจึงขึ้นเสวยราชย์แล้วย้ายนครหลวงจากอโยชฌปุระ ไปนครละโว้ตามเดิม หลังจากเสวยราชได้ 5 ปี ได้สร้างวัดกุฎีทอง ถวายพระอาจารย์ส่วนพระอัครมเหสีสร้างวัดคงคาวิหาร
                พ.ศ. 1601 พระเจ้าอโนรธามังฉ่อ กษัตริย์มอญ ลูกหลานของพระเจ้าอนุรุธ ทราบข่าวการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินมีการแย่งชิงราชสมบัติ จึงยกทัพมาล้อมเมืองละโว้ พระเจ้าจันทโชติเห็นว่าไม่สามารถสู้กับกองทัพมอญได้ จึงปรึกษาเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ ขอถวายพระพี่นางเจ้าฟ้าแก้วประพาสให้กษัตริย์มอญ-พม่า เป็นอัครมเหสีเพื่อเป็นทางพระราชไมตรี
                ต่อมามีโอรสเป็น พระนเรศวรหงศา ส่วนเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์มีโอรสเป็นพระนารายณ์ เมื่อมีพระชนม์ได้ 14 ปี ได้ไปเยี่ยมพระเจ้าป้าอยู่จนคุ้นเคยในราชสำนักพระเจ้าอโนรธามังฉ่อ เกิดวิวาทกับพระนเรศวรหงศา
                พระนารายณ์จึงเกลี้ยกล่อมชาวไทยและมอญ ที่ตกอยู่ทางกรุงหงศาพาหนีกลับมาได้จำนวนมาก พอพระบิดาสวรรคตพระนารายณ์ซึ่งเป็นหลานทางสายมารดาได้ครองราชย์ ก็ย้ายนครหลวงกลับไปอโยชฌปุระ
                ปี พ.ศ. 1630 พระนเรศวรหงศา ยกกำลังพลสีแสนมาปิดล้อมกรุงอโยชฌปุระ แล้วมีการนัดก่อเจดีย์พนันเมืองกัน พระเรศวรหงศาแพ้ยกทัพกลับไปพระนารายณ์ได้ไปสร้างพระปรางค์สามยอดเมืองละโว้ แล้วขนานนามเมืองละโว้ใหม่ว่า เมืองลพบุรี
                พระนารายณ์สร้างพระปรางค์สามยอดที่ละโว้ ตามความเชื่อของวัฒนธรรมไศเลนทร์สร้างเป็นมณเฑียรธรรมในพระพุทธศาสนาสร้างอุทิศให้บรรพบุรุษ ยอดกลางประดิษฐานพระพุทธรูป ยอดซ้ายและขวาประดิษฐานพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธรูปทรงเครื่อง
                พระองค์สร้างอุทิศให้แก่พระบิดา พระอัยกา เมื่อพระนารายณ์ ประชวรสวรรคต อำมาตย์เก้าคนฆ่าฟันแย่งชิงราชสมบัติกับพระเจ้าหลวงได้ราชสมบัติ ให้ยกวังเป็นวัด แล้วลงไปสร้างพระนครอโยธยาใหม่อยู่ท้ายเมืองไปวัดโปรดสัตว์
                ตำนานพระแก้วมรกตเล่าถึง พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในกรุงอโยธยามานาน สืบได้พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ จนอยู่มาวันหนึ่ง เจ้าพระยากำแพงเพชรยกกองทัพเรือลงมาขอพระแก้วมรกตขึ้นไปไว้ในเมืองกำแพงเพชร
                เมืองกำแพงเพชรโบราณ คงจะมีมาก่อนแต่ไม่ค่อยมีหลักฐานของกษัตริย์ที่คงเมืองมากนัก จะมีก็แต่โบราณสถานเก่าแก่ทั่วไป ในแถบทุ่งเศรษฐีที่พบพระพิมพ์ต่าง ๆเช่น พระจำพวกซุ้มกอ พระกำแพง ลีลาต่าง ๆ
                มีตำนานพระพิมพ์ ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์โบราณผู้ทรงธรรมจนมีผู้เรียกเทียบเท่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่มหานครแถวเมืองกำแพงเพชร มีประวัติว่า พระฤาษี 11 ตน ได้ปรึกษากันที่จะสร้างอะไรเพื่อเป็นพระเกียรติแก่พระยาศรีธรรมาโศก แล้วก็ช่วยกันทำพระพิมพ์แบบกำแพงเพชรขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เราทราบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก่อนเป็นเวลาเป็นพันปี และมีชนชาติไทยเราอาศัยอยู่มีเมืองต่าง ๆ รบพุ่งกันตลอดมา เราเพียงแต่รู้ประวัติศาสตร์จากศิลาจารึกในช่วง 1 สองสมัยพระร่วงชนช้างกับเจ้าสมาชนเจ้าเมืองฉอด  (อยู่แถวจังหวัดตาก)
                จากหนังสือพระบรมราชธิบายของรัชกาลที่ 5 เขียนถึงพระแก้วมรกตว่า “ต่อนั้นไปจึงถึงวัดใหญ่ซึ่งมีวิหารอย่างเดียวกันกลางเป็นรูปไม้สิบสอง จะเป็นเจดีย์หรือปรางค์อันใดพังเสียหรือไม่ แล้วด้านหลังก็เป็นวิหารใหญ่ อีกหลังหนึ่งในลานวัดนั้นเต็มไปด้วยพระเจดีย์ที่เป็นฐานเดียวกันหลาย ๆ องค์บ้าง ลักษณะเดียวกับวัดหน้าพระธาตุลพบุรีและวัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช จะเป็นวัดอื่นนอกจากวัดหน้าพระธาตุไม่ได้เลย
                 วัดนี้ดูบริบูรณ์มากกว่าวัดอื่น ซุ้มประตูใหญ่น้อยก็ยังมีข้างหน้าวัดมีสระสี่เหลี่ยมกว้าง ยาวลึกประมาณสัก 5 วา ขุดลงไปในแลงเหมือนอ่างศิลา ไม่มีรอยก่อเลยมีห้องฝาแลงกั้นสำหรับพระสรงน้ำ คงจะใช้โพงคันชั่ง
                น้ำในนั้นยังมีบริบูรณ์ใช้ได้อยู่จนบัดนี้เมื่อเห็นวัดนี้เข้าแล้วเป็นการจำเป็นที่จะยืนยันรับรองว่า วัดในเมืองจะเป็นวัดพระแก้วไม่ได้เลย ถ้าพระแก้วได้อยู่ในเมืองนี้ คงจะอยู่วัดนี้ ใช่จะแต่เฉพาะว่าวัดใหญ่เกี่ยวด้วยกาลเวลา
                ด้วยเหตุที่พระแก้วจะตกมาอยู่กำแพงเพชร คงจะอยู่มาก่อนสร้างเมืองกำแพงเพชรทุกวันนี้ด้วย ถ้ามาอยู่ภายหลังคงไม่อยู่กำแพงเพชร ต้องไปอยู่สุโขทัย เมืองขึ้นกำแพงเพชร ไม่เกิน 600 ปี แต่เมืองโบราณภายในนี้ไม่ภายหลังพระร่วง ถ้าหากว่าได้ค้นคว้ากันจริง ๆ คงจะพบลำน้ำเขินพบเชิงเทินเมืองเก่า...”
                เจ้าเมืองกำแพงเพชร ที่ไดรับการยกย่องเป็นพระเจ้าศรีธรรมาโศกที่ครองนครโบราณ นอกเมืองกำแพงเพชรในสมัยประมาณ พ.ศ. 1730 ได้ยกกองทัพเรือล่องลงไปขอพระแก้วมรกตจากนครอโยธยา ซึ่งขณะนั้นเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกำลังจะล่มสลาย
                คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ ที่พระรัตนปัญญาได้เขียนไว้ที่นครเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2060 ได้เขียนเรื่องพระแก้วมรกต ตั้งแต่ออกจากเมืองกำแพงเพชรจนถึงเมืองเชียงใหม่ ได้ถูกต้องกว่าตำนานพระแก้วมรกตฉบับอื่นๆ เพราะเป็นเหตุการณ์สำคัญในพระพุทธศาสนา เวลาที่บันทึกเรื่องก็ไม่นานเพียง 160 ปี เรื่องพระแก้วมรกตส่วนมากจึงถือตามคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์
                ลุล่วงเข้าในสมัยพระเจ้ากือนา ครองเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 18—91929 พระอนุชาของพระเจ้ากือนาชื่อเจ้ามหาพรหม ครองเมืองเชียงราย เจ้ามหาพรหมได้ยกกองทัพมา และทูลขอทหารจากพระเจ้ากือนา รวมทหารได้แปดหมื่น ยกทัพลงไปเมืองกำแพงเพชร ในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ทูลขอพระรัตนปฏิมา (พระแก้วมรกต) และพระสีหลปฏิมา (พระพุทธสิหิงค์) แล้วเอาขึ้นไปประดิษฐานที่เมืองเชียงราย ขุนหลวงพะงั่วทราบข่าวยกกองทัพไปช่วย แต่เจ้ามหาพรหมได้ยกทัพนำพระพุทธรูปไปเสียแล้ว
                จากคัมภีร์รัตนพิมพ์วงศ์ ซึ่งแต่งโดยพระภิกษุพรหมราชปัญญาเป็นภาษาบาลี เล่าว่า เมื่อพระเจ้าเมืองเชียงรายพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์และประชาชนทำการสมโภช สรงน้ำแก่องค์พระรัตนปฏิมากร บุคคลใดมีศรัทธาอันบริสุทธิ์ ด้วยบุญญาธิคุณ มีศีล มีทาน อุปัฏฐากแก่บิดามารดา เมื่อสรงน้ำพระแก้วมรกตน้ำนั้นมิต้ององค์พระเลย ทำให้ทราบว่าคนไหนดีคนไหนชั่ว ใครเป็นคนชั่วก็ไม่กล้าไปสรงน้ำให้เดือดร้อนใจทำให้ต้องกลับใจขอขมาลุแก่โทษต่อองค์พระแก้วกลับใจเป็นคนดี ไม่ประพฤติชั่ว จึงไปสรงนำพระแก้วมรกตได้เหมือนคนอื่น ๆ บ้านเมืองก็บังเกิดความร่มเย็นสงบสุขทั่วดินแดนแห่งนั้น
                ต่อมาเมื่อพรเจ้าแสนเมืองมา (โอรสพระเจ้ากือนา) ครองเมืองเชียงใหม่ ได้ยกกองทัพไปรบกับเจ้ามหาพรหมผู้เป็นพระเจ้าอา พระเจ้าแสนเมืองรบชนะเข้าเมืองเชียงรายได้ พบแต่พระสีหลปฏิมาองค์เดียว ก็นำกลับมาเมืองเชียงใหม่ ส่วนพระแก้วมรกตมีผู้นำไปซ่อน หายสาบสูญไป  ไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย
                ในสมัยพระเจ้าพิลก ครงอเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 1985-2031 ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองเชียงราย มีผู้พบพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ขณะทำความสะอาดพระพุทธรูปพบทองและรักของพระพุทธรูปกะเทาะออกมาจากพระกรรณ เห็นข้างในเป็นแก้วสีเขียวสุกใส จึงแจ้งไปยังพระภิกษุเจ้าอาวาส ภายหลังกะเทาะทองและรักที่หุ้มออกหมด ปรากฏว่าเป็นองค์พระแก้วมรกต ที่หายสาบสูญไปนานแล้วนั่นเอง จึงแจ้งให้เจ้าเมืองเชียงรายได้รับทราบ
                พระเจ้าพิลกทราบข่าวการพบพระแก้วมรกต ก็ให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาสู่เมืองเชียงใหม่ ให้จัดขบวนช้างและภิกษุสงฆ์ อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงรายถึงเมืองไชยสัก ปรากฏว่าพระแก้วมรกตมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นในทันที จนช้างที่อัญเชิญไม่อาจทานได้ ต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตลงพักไว้ แล้วส่งคนไปกราบทูลพระเจ้าพิลกให้ทรงทราบ
                พระองค์จึงตรึกตรองว่า ชะรอยพระแก้วมรกตยังไม่มาโปรดเมืองเชียงใหม่ก่อน เหมือนเมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังพระชนม์อยู่ ย่อมเห็นว่ามีเวไนยชน ณ ที่ใดที่พระองค์ควรจะเสด็จไปโปรดได้ พระองค์ก็เลือกเสด็จไปทั่วทุกแห่ง ครั้งนี้พระแก้วมรกตคงจะเสด็จไปโปรดที่แห่งใดก่อนเป็นแน่แท้
                พระเจ้าพิลกจึงให้เขียนชื่อเมืองเชียงใหม่ เมืองหริภุญชัย เมืองพะเยา และเมืองเขลางค์นคร (ลำปาง) แล้วให้เสี่ยงทายจับฉลาก ปรากฏว่าจับได้เมืองเขลางค์นครก็อนุญาตให้อัญเชิญไปได้ พระแก้วมรกตก็ลดน้ำหนักลง อัญเชิญขึ้นช้างได้โดยสะดวก นำพระแก้วมรกตไปสู่เขลางค์นคร ชาวเมืองก็ปิติยินดีปรีดายิ่งนัก ที่จะได้พระแก้วมรกตไว้นมัสการเป็นบุญแก่เขลางค์นคร นั้นแล
                พระเจ้าพิลกราชาธิราช ครองราชย์มาถึงปีจอ จุลศักราช 838 (พ.ศ. 2019) ได้โปรดให้ สีหโคตรเสนาบดี (หมื่นด้ามหร้าคต) ก่อสร้างราชกูฎ (เจดีย์หลวง) องค์เก่า ที่สร้างในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ราชกุฏใหม่รูปทรงเป็นกระพุ่มยอดเป็นอันเดียว สวยงามน่าเลื่อมใสนัก เป็นจุดเด่นของเมืองเชียงใหม่ มีผู้กล่าวว่า งามดังพระธาตุจุฬามณีเจดีย์ในสวรรค์ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว มีฐานกว้างด้านละ 35 วา สูง 45 วา พระเจ้าพิลกราชาธิราชก็ให้อัญเชิญพระแก้วมรกต มาแต่เขลางค์นครประดิษฐานไว้ในราชกุฏที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อปีฉลู จุลศักราช 841 (พ.ศ. 2022) พระแก้วมรกตก็มาโปรดสัตว์เป็นมิ่งขวัญแก่ชาวเชียงใหม่ตั้งแต่นั้นมา
                เมื่อพระเจ้าโพธิสารราชาธิราช ขึ้นครองราชย์ในกรุงศรีสัตนาคนหุต ครั้งหนึ่งมีพระมหาเถระเจ้าองค์หนึ่งมาแต่เมืองเชียงใหม่ พระโพธิสารได้ปฏิบัติบูชาพระเถระเจ้าเป็นอย่างดีนั่นเองพระเจ้าเมืองเชียงใหม่สมัยนั้น ทราบถึงความทรงธรรมของพระเจ้าโพธิสาร จึงจัดส่งพระธิดามาถวาย พระโพธิสารตั้งให้เป็นพระอัครมเหสี มีโอรสทรงพระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐา
                เมื่อพระเจ้าตา กษัตริย์เมืองเชียงใหม่สวรรคต เหล่าอำมาตย์เสนาบดี สมณพราหมณ์ได้อัญเชิญพระไชยเชษฐาไปครองเมืองเชียงใหม่
                เมื่อ พ.ศ. 2093-2095 ต่อมาทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระโพธิสารพระราชบิดา จึงเดินทางกลับไปถวายพระเพลิงพระราชบิดาที่หลวงพระบาง พร้อมอัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปด้วย
                ล่วงเข้า พ.ศ. 2107 พระไชยเชษฐา ได้สร้างราชธานีขึ้นใหม่ที่เมืองเวียงจันทน์ จึงอัญเชิญพระแก้วมรกตพระพุทธสิหิงค์และพระบางไปประดิษฐานที่พระมหาปราสาทสามยอด ซึ่งสร้างอย่างสวยวิจิตรพิสดาร ประดับประดาช่อฟ้าใยระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง กระหินลายฝา ล้วนทำด้วยทองคำแผ่หุ้มทั้งสิ้น พื้นดาดด้วยเงิน หลังคาดาดด้วยดีบุก มีเศวตฉัตร 9 ชั้น ทำด้วยทองคำ ประดิษฐานอยู่เบื้องบนรัศมี
                เครื่องบริขารถวายของพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ และพระบาง ล้วนทำด้วยทองคำทั้งสิ้น พระไชยเชษฐาธิราช ได้สร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งไว้ทางทิศตะวันออก ถัดจากเจดีย์ที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างไว้ก่อนนั้นแล้ว พระองค์ก็ให้สร้างพระเจดีย์น้อย 30 องค์ ให้แวดวงเป็นบริวารทั่วไปโดยรอบแล้วพระองค์ให้พระนามพระเจดีย์ว่า “เจดีย์พระโลกจุฬามณีศรีเชียงใหม่” แล้วจัดแจงข้าหญิงชายอย่างละร้อยให้เป็นข้ารักษาพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ และพระแซกคำเจ้า (พระบาง)
                พระแก้วมรกตได้อยู่นครเวียงจันทน์ เป็นที่สักการบูชาของประชาชนและกษัตริย์ผู้ครองเมืองมาหลายพระองค์ จนถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยาแตกเสียแก่ข้าศึกพม่า ในปีกุนนพศก จุลศักราช 1129 (พ.ศ. 2310)
                ครั้งนั้นพระเจ้าตากสิน ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชรได้ลงมาช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยา ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาจะแตกแน่ เพราะคนไทยแตกความสามัคคี เจ้าแผ่นดินไม่เอาใจใส่บ้านเมือง จึงรวบรวมไพร่พลตีฝ่าวงล้อมของพม่ามาตั้งกำลังพลอยู่ที่จันทบุรี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พระเจ้าตากสินก็ยกทัพมาตีพม่าแตกพ่ายที่โพธิ์สามต้น และปราบก๊กต่างๆ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ได้สำเร็จ จากนั้นก็ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์สืบวงศ์สยาม ยกกรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง แผ่ขยายขอบเขตขัณฑเสมาอาณาจักรให้กว้างขวาง แผ่พระเกียรติให้ไพศาลยิ่งกว่าครั้งกรุงเก่า ครั้งนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ให้เจ้าพระยานครราชเสมา ส่งราชสารขึ้นไปยังเมืองเวียงจันทน์บุรี ให้มาขึ้นแก่กรุงธนบุรีกับเมืองต่าง ๆ เช่น ชวา มาลายู กัมพูชา กะเหรี่ยง ลาวเชียงใหม่ และญวนก็มาขึ้นแล้ว มาแต่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง บรรณาการตามพระราชประเพณี
                ครั้นพระเจ้าเวียงจันทน์ได้รับราชสารแล้ว ก็ตอบมาว่า กรุงศรีสัตนาคนหุต เวียงจันทบุรีมีกษัตริย์ปกครองมาหลายชั่วกษัตริย์ คิดเป็นอายุกว่าพันปี ไม่เคยคิดเป็นศัตรูกับประเทศไทย หาได้ไปอ่อนน้อมแก่ประเทศใดไม่
                ครั้นถึงจุลศักราช 1141 (พ.ศ. 2322) สมเด็จพระมหากษัตริย์ศึกกับพระเจ้าสุรสีหพิษณวาธิราช ได้ยกกองทัพขึ้นไปตีได้เมืองศรีสัตนาคนหุต เวียงจันทน์ พระเจ้าริมขาว เจ้าเมืองหลวงพระบางได้สวามิภักดิ์ช่วยในการสงคราม
                เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ได้ตีเมืองเวียงจันทน์แล้ว ก็อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบางกลับลงมาพระนครธนบุรี พระเจ้าตากสินก็ให้สร้างโรงพระแก้วที่หลังพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม เสร็จแล้วก็อัญเชิญพระแก้วมรกต กับพระบางขึ้นประดิษฐานในโรงแล้วให้มีการสมโภชมหรสพต่างๆ
                สิ้นสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบดาภิเษกขึ้นเสวยสิริราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อ พ.ศ. 2325 ทรงพระราชดำริว่า พระพุทธรัตนปฏิมากร พระองค์นี้เป็นแก้วอย่างดีวิเศษ ไม่สมควรที่จะประดิษฐานอยู่กรุงธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองน้อย ขึ้นแก่กรุงเทพฯ จึงทรงสถาปนาสร้างพระอุโบสถในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งประดับประดาสวยงามวิจิตรยิ่งนัก แล้วทำระเบียงรอบบริเวณพระอาราม
                จุลศักราช 2246 (พ.ศ. 2327) ปีมะโรงฉศก ณ วันจันทร์ แรม 12 ค่ำ เดือน 4 ก็อัญเชิญมาประดิษฐานต้องอุโบสถหลังใหม่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เฉลิมฉลองพระอารามกับทั้งพระนคร เป็นเวลาสามวันสามคืน ทรงถวายพระนามนครใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธรัตนปฏิมากรว่า
                กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยาบรมราชธานี เพราะเป็นที่เก็บรักษาพระแก้วมรกตของพระเจ้าอยู่หัวผู้สร้างพระนครนี้