น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักดาราสาวเจ้าของฉายา"สัญลักษณ์ทางเพศ" นาม มาริลีน มอนโร ผู้คนต่างกล่าวถึงเสน่ห์ที่ดูดตรงข้าม เธอเป็นผู้หญิงที่ร้อนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ แต่ต่อมาจู่ ๆ เธอก็ตายปริศนา ในบ้านของเธอเอง แพทย์ที่ชันสูตรเธอบอกว่าเธอตายเพราะเสพย์ยาเกินขนาด เป็นไปได้หรือ! ดาราสาวที่ร้อนแรงระดับโลกจะเครียดจัดจนกินยาเกินขนาด ท่ามกลางชื่อเสียงและเงินทอง หลังการตายของเธอ จู่ ๆ ก็มีข่าวลือต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวเธอเพียบ ไม่ว่าเธอจะเป็นเลสเบี้ยน ขายตัว เป็นโรคประสาท หรือแม้กระทั่งเป็นผู้หญิงของเคนเนดี ประธานธิบดีชื่อก้องของอเมริกา!? เรื่องราวแท้ที่จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่!?
<< มารู้จักกับเธอมาริลีน มอนโร
มารีลีน มอนโรนั้นชื่อเดิมของเธอมีชื่อว่า นอร์มา จีน เบเกอร์ ซึ่งมาจากนามสกุลของเพื่อนชายคนหนึ่งของแม่ แต่หลายคนเชื่อว่านั้นแหละคือพ่อแท้จริงของเธอ เธอเกิดในบ้านเด็กกำพร้าในแอลเอ เนื่องจากแม่เธอมีอาการโรคประสาท ไม่สามารถเลี้ยงดูเธอได้ ส่วนพ่อแท้ไม่ต้องการเลี้ยงดูจึงฝากเธอเอาไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ต่อมาเธอก็ถูกรับไปเลี้ยงดูโดยครอบครัวกอดดาร์ดเพื่อนของพ่อแม่ของเธอ
มารีลีน มอนโรนั้นชื่อเดิมของเธอมีชื่อว่า นอร์มา จีน เบเกอร์ ซึ่งมาจากนามสกุลของเพื่อนชายคนหนึ่งของแม่ แต่หลายคนเชื่อว่านั้นแหละคือพ่อแท้จริงของเธอ เธอเกิดในบ้านเด็กกำพร้าในแอลเอ เนื่องจากแม่เธอมีอาการโรคประสาท ไม่สามารถเลี้ยงดูเธอได้ ส่วนพ่อแท้ไม่ต้องการเลี้ยงดูจึงฝากเธอเอาไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ต่อมาเธอก็ถูกรับไปเลี้ยงดูโดยครอบครัวกอดดาร์ดเพื่อนของพ่อแม่ของเธอ
เมื่อเธอโตเป็นสาวสวย วัย 21 ปี ได้แต่งงานครั้งแรกกับหนุ่มกะลาสีเรือสินค้าคนหนึ่งชื่อ จิมมี่ โดเฮอร์ตี แต่การงานนี้ไม่ได้เกิดจากความรักแม้แต่น้อย เพราะเธอถูกครอบครัวบังคับให้แต่ง ด้วยนิสัยของเธอที่เปรี้ยวมากกว่าสาวชาวบ้านธรรมดา ทำให้การแต่งงานครั้งแรกจบลงด้วยการหย่าร้างใน 5 ปีต่อมา ในช่วงที่เธอหย่าจากสามีคนแรก เธอคิดว่าจะไปทำงานหน้ากล้อง โดยเป็นนางแบบถ่ายโฆษณาสินค้า ซึ่งต่อมาเธอก็ได้รับการชักจูงเข้าสู่วงการมายาฮอลลีวูด
>> คนจะสวย....ช่วยไม่ได้
ไม่นานนัก นอร์มา จีนเบเกอร์ เปลี่ยนชื่อมาเป็น มาริลีน มอนโร หลังจากที่เธอเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนต์ทวนตีธ์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ โดยนำชื่อท้ายของยายมาตั้ง หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็รุ่งเรืองถึงขีดสุดมาตลอด จนสื่อต่างๆ มักเรียกเธอว่าดาวค้างฟ้าแห่งฮอลลีวูด
ไม่นานนัก นอร์มา จีนเบเกอร์ เปลี่ยนชื่อมาเป็น มาริลีน มอนโร หลังจากที่เธอเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนต์ทวนตีธ์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ โดยนำชื่อท้ายของยายมาตั้ง หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็รุ่งเรืองถึงขีดสุดมาตลอด จนสื่อต่างๆ มักเรียกเธอว่าดาวค้างฟ้าแห่งฮอลลีวูด
มาริลีน มอนโรได้ดิบได้ดีจากอาชีพนักแสดงแห่งวงการมายาของช่วงยุคทศวรรษที่ 50 เนื่องจากเธอมีท่วงท่าและอิริยาบถในลีลาอันเย้ายวนใจของเธอในภาพยนต์หลาย ๆ เรื่องที่มาริลีนแสดง มากกว่าผลงานในภาพยนต์เสียอีก จนกระทั่งได้รับฉายาอีกอย่างคือ "สัญลักษณ์ทางเพศ"นับแต่นั้นเป็นต้นมา และนี้คือผลงานภาพยนตร์ทั้งหมดของเธอ
พ.ศ. 2491 - เลดี้ ออฟ เดอะ คอรัส
พ.ศ. 2492 - เลิฟ แฮปปี้
พ.ศ. 2493 - เดอะ แอสฟัลต์ จังเกิ้ล
พ.ศ. 2495 - แคลช บาย ไนท์
พ.ศ. 2496 - เนียอะการา
พ.ศ. 2497 - ริเวอร์ ออฟ โน รีเทิร์น
พ.ศ. 2499 - บัส สต๊อป
พ.ศ. 2500 - เดอะ ปริ๊นซ์ แอนด์ เดอะ โชว์เกิร์ล
พ.ศ. 2502 - ซัม ไลท์ อิส ฮอต
พ.ศ. 2503 - เลส เมค เลิฟ
พ.ศ. 2504 - เดอะ มิสฟิทธ์
พ.ศ. 2505 - ซัมทิง ก๊อท ทู กิฟ (ถ่ายทำไม่สำเร็จ)
จากความงามในทุกสัดส่วนของเธอนี้เองมันไปเข้าตาทุกๆ คนในวงการเข้า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย นักการเมือง (รวมทั้งคนเขียน) ที่ต่างหมายปองเธอ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้ตัวเธอ เพราะมาริลีนมีชื่อเสียงในด้านความดื้อรั้น หัวแข็ง และปากจัดมากคนหนึ่งในฮอลลีวูด มีหลายครั้งที่เธอไม่สามารถร่วมงานกับคนในวงการได้ และหลายคนที่ต้องทนกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเธอเกือบทุกวัน แม้กระทั้งผู้สื่อข่าวที่เคยหน้าหงายจากการตอบโต้ของเธอเมื่อถามคำถามไม่เข้าหูมาแล้ว
พ.ศ. 2491 - เลดี้ ออฟ เดอะ คอรัส
พ.ศ. 2492 - เลิฟ แฮปปี้
พ.ศ. 2493 - เดอะ แอสฟัลต์ จังเกิ้ล
พ.ศ. 2495 - แคลช บาย ไนท์
พ.ศ. 2496 - เนียอะการา
พ.ศ. 2497 - ริเวอร์ ออฟ โน รีเทิร์น
พ.ศ. 2499 - บัส สต๊อป
พ.ศ. 2500 - เดอะ ปริ๊นซ์ แอนด์ เดอะ โชว์เกิร์ล
พ.ศ. 2502 - ซัม ไลท์ อิส ฮอต
พ.ศ. 2503 - เลส เมค เลิฟ
พ.ศ. 2504 - เดอะ มิสฟิทธ์
พ.ศ. 2505 - ซัมทิง ก๊อท ทู กิฟ (ถ่ายทำไม่สำเร็จ)
จากความงามในทุกสัดส่วนของเธอนี้เองมันไปเข้าตาทุกๆ คนในวงการเข้า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย นักการเมือง (รวมทั้งคนเขียน) ที่ต่างหมายปองเธอ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้ตัวเธอ เพราะมาริลีนมีชื่อเสียงในด้านความดื้อรั้น หัวแข็ง และปากจัดมากคนหนึ่งในฮอลลีวูด มีหลายครั้งที่เธอไม่สามารถร่วมงานกับคนในวงการได้ และหลายคนที่ต้องทนกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเธอเกือบทุกวัน แม้กระทั้งผู้สื่อข่าวที่เคยหน้าหงายจากการตอบโต้ของเธอเมื่อถามคำถามไม่เข้าหูมาแล้ว
ปี 1954 มาริลีน แต่งงานกับ โจ ดิแมกจิโอ ดาราเบสบอลที่มีชื่อเสียง แต่ไม่นานหลังจากแต่งงาน 9 เดือนต่อมา เธอก็หย่าขาดจากเขาโดยไม่บอกเหตุผลว่าเพราะทำไม
ปี 1956 มาริลีน แต่งงานเป็นครั้งที่3 กับ อาเธอร์ มิลเลอร์ คนเขียนบทละครชื่อดัง และช่วงนี้ชีวิตความเป็นดาราของมาริลีน มอนโร ก็ได้ก้าวถึงจุดสูงสุดในอาชีพการแสดง และในช่วงระหว่างนั้นเองความสวยสะพรั่งของเธอได้ไปสะดุดบุคคลคนหนึ่งเข้า "จอห์น เอฟ เคนเนดี"
เขาลือว่าเธอเป็นเมียลับของพี่น้องเคนเนดี
เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1962 มาริลีน มอนโร ได้รู้จักกับพี่น้องเคนเนดีเป็นครั้งแรก ในงานเลี้ยงวันเกิดของคนพี่เข้า โดยการแนะนำให้รูจักจากปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ค ดาราชายระดับแนวหน้าของฮอลีวูดที่เป็นญาติสนิทของตระกูลเคนเนดี ในงานนี้ มาริลีน มอนโร สร้างความประทับใจแก่ท่านประธานธิบดีด้วยการร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้กับเขา
จอห์น เคนเนดีก็เหมือนชายหนุ่มทั่วๆ ไปที่ได้สัมผัสความงามของเธออย่างใกล้ชิดและอดลุ่มหลงตัวเธอไม่ได้ ต่อมาจากความสัมพันธ์จากคนรู้จักก็เก้ากระโดดเป็นเพื่อนสนิทกันในทันใด แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถือว่าเป็นความลับสุดยอด เพราะท่านประธานธบดีนั้นมีภรรยาแล้ว ถ้ามีข่าวออกไปชีวิตพังพินาศแน่ แต่สำหรับมาริลีน มอนโร นั้นไม่เป็นเช่นนั้นเธอหวังมากและมากกว่าจะเป็นภรรยาลับของเคนนาดีเสียอีก และภายหลังที่มาริลีน มอนโร คบหาประธานาธิบดีเคนนาดี เธอยิ่งมีนิสัยแข็งกระด้านขึ้นมากยิ่งขึ้นต่อทุกคนรอบข้างของเธอ เธอเริ่มเป็นคนไม่ตรงต่อเวลาและเอาแต่ใจตนเอง
แต่ความหวังอันสูงสุดของมอนโรนั้นไม่ง่ายเหมือนกลีบดอกกุหลาบ อย่างหนังที่เธอแสดง บนถนนสายการเมืองนั้นมีอำนาจลึกลับยิ่งใหญ่อยู่มันยุ่งเสียยิ่งกว่าวงการมายาของเธอมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า
อย่างที่รู้กันอยู่ว่าตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกานั้น มันอยู่ระหว่างขั้วอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆมาช้านาน ถ้าเกิดมีอะไรนิดหน่อยมาสะดุดล่ะก็มีหวังพังเป็นแถบๆ และมาริลีน มอนโร ต้องเจอหลังเป็นเมียลับของเคนเนดีก็คือหน่วยงานลับสุดยอดที่ขึ้นชื่อในการกำจัด "ขวากหนาม"
+++ ข่าวลือ ชีวิตหลังจากนั้น
จู่ ๆ ในช่วงอายุ 30 ปี มาริลีน มอนโร มีนิสัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เธอหงุดหงิกง่าย ทานยานอนหลับบ่อย และมีอาการประสาทจนต้องพึ่งจิตแพทย์และเข้าคอร์สบำบัดอยู่เป็นประจำ ปัญหาร้อยแปดนี้ทำให้อาชีพนักแสดงของเธอกำลังจะพัง แถมเธอยังถูกไล่ในระหว่างการแสดงภาพยนต์เรื่องหนึ่งอีก เนื่องจากผู้อำนวยการสร้างไม่พอใจกับพฤติกรรมไม่ตรงเวลาและความไม่รับผิดชอบของเธอ
แต่แล้วเธอกับเพิ่มปัญหายุ่ง ๆ นี้ขึ้นไปอีก หลังจากที่เธอไปมีความความสัมพันธ์กับเคนนาดีแล้ว เธอดันมีสัมพันธ์ชู้สาวกับ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี น้องชายของจอห์นเข้าไปอีก มีหลายคนลือว่าเพราะโรเบิร์ตต้องการแยกห่างออกจากมาริลีนมอนโรก่อนที่สาธารณชนจะรู้มากกว่านี้ แต่กลับเป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์เธอเสียนี้ ถึงขั้นคิดอย่าขาดจากภรรยาเขาเลยล่ะ แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีหรือที่รอดจาก CIA หรือหน่วยข่าวกรองสุดยอดของสหรัฐได้! แม้แต่ FBI ก็ขอร่วมด้วยช่วยกัน
เชื่อเลยทั้ง CIA และ FBI คงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ข่าวว่าตอนนี้เธออยู่ไหน ไปหาใคร กินอาหารที่ไหนบ้าง ฯลฯ คงต้องมีการปฏิบัติแอบสะกดรอยตาม แอบมอง แอบฟังโทรศัพท์ ลักลอบบันทึกเทป ทุกสถานที่ที่เธอกำลังจะไป ฯลฯ เนื่องจากไม่แน่ใจว่า "เด็กของท่าน"นางนี้ อาจเป็นภัยที่เสี่ยงต่อหายนะของประเทศชาติ เพราะท่านประธานาธิบดีของเขาจะเผลอพูดความลับทางการเมืองอะไรไปหรือเปล่า ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงภัยจากคอมมิวนิสต์เสียด้วยสิ
เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1962 มาริลีน มอนโร ได้รู้จักกับพี่น้องเคนเนดีเป็นครั้งแรก ในงานเลี้ยงวันเกิดของคนพี่เข้า โดยการแนะนำให้รูจักจากปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ค ดาราชายระดับแนวหน้าของฮอลีวูดที่เป็นญาติสนิทของตระกูลเคนเนดี ในงานนี้ มาริลีน มอนโร สร้างความประทับใจแก่ท่านประธานธิบดีด้วยการร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้กับเขา
จอห์น เคนเนดีก็เหมือนชายหนุ่มทั่วๆ ไปที่ได้สัมผัสความงามของเธออย่างใกล้ชิดและอดลุ่มหลงตัวเธอไม่ได้ ต่อมาจากความสัมพันธ์จากคนรู้จักก็เก้ากระโดดเป็นเพื่อนสนิทกันในทันใด แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถือว่าเป็นความลับสุดยอด เพราะท่านประธานธบดีนั้นมีภรรยาแล้ว ถ้ามีข่าวออกไปชีวิตพังพินาศแน่ แต่สำหรับมาริลีน มอนโร นั้นไม่เป็นเช่นนั้นเธอหวังมากและมากกว่าจะเป็นภรรยาลับของเคนนาดีเสียอีก และภายหลังที่มาริลีน มอนโร คบหาประธานาธิบดีเคนนาดี เธอยิ่งมีนิสัยแข็งกระด้านขึ้นมากยิ่งขึ้นต่อทุกคนรอบข้างของเธอ เธอเริ่มเป็นคนไม่ตรงต่อเวลาและเอาแต่ใจตนเอง
แต่ความหวังอันสูงสุดของมอนโรนั้นไม่ง่ายเหมือนกลีบดอกกุหลาบ อย่างหนังที่เธอแสดง บนถนนสายการเมืองนั้นมีอำนาจลึกลับยิ่งใหญ่อยู่มันยุ่งเสียยิ่งกว่าวงการมายาของเธอมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า
อย่างที่รู้กันอยู่ว่าตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกานั้น มันอยู่ระหว่างขั้วอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆมาช้านาน ถ้าเกิดมีอะไรนิดหน่อยมาสะดุดล่ะก็มีหวังพังเป็นแถบๆ และมาริลีน มอนโร ต้องเจอหลังเป็นเมียลับของเคนเนดีก็คือหน่วยงานลับสุดยอดที่ขึ้นชื่อในการกำจัด "ขวากหนาม"
+++ ข่าวลือ ชีวิตหลังจากนั้น
จู่ ๆ ในช่วงอายุ 30 ปี มาริลีน มอนโร มีนิสัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เธอหงุดหงิกง่าย ทานยานอนหลับบ่อย และมีอาการประสาทจนต้องพึ่งจิตแพทย์และเข้าคอร์สบำบัดอยู่เป็นประจำ ปัญหาร้อยแปดนี้ทำให้อาชีพนักแสดงของเธอกำลังจะพัง แถมเธอยังถูกไล่ในระหว่างการแสดงภาพยนต์เรื่องหนึ่งอีก เนื่องจากผู้อำนวยการสร้างไม่พอใจกับพฤติกรรมไม่ตรงเวลาและความไม่รับผิดชอบของเธอ
แต่แล้วเธอกับเพิ่มปัญหายุ่ง ๆ นี้ขึ้นไปอีก หลังจากที่เธอไปมีความความสัมพันธ์กับเคนนาดีแล้ว เธอดันมีสัมพันธ์ชู้สาวกับ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี น้องชายของจอห์นเข้าไปอีก มีหลายคนลือว่าเพราะโรเบิร์ตต้องการแยกห่างออกจากมาริลีนมอนโรก่อนที่สาธารณชนจะรู้มากกว่านี้ แต่กลับเป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์เธอเสียนี้ ถึงขั้นคิดอย่าขาดจากภรรยาเขาเลยล่ะ แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีหรือที่รอดจาก CIA หรือหน่วยข่าวกรองสุดยอดของสหรัฐได้! แม้แต่ FBI ก็ขอร่วมด้วยช่วยกัน
เชื่อเลยทั้ง CIA และ FBI คงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ข่าวว่าตอนนี้เธออยู่ไหน ไปหาใคร กินอาหารที่ไหนบ้าง ฯลฯ คงต้องมีการปฏิบัติแอบสะกดรอยตาม แอบมอง แอบฟังโทรศัพท์ ลักลอบบันทึกเทป ทุกสถานที่ที่เธอกำลังจะไป ฯลฯ เนื่องจากไม่แน่ใจว่า "เด็กของท่าน"นางนี้ อาจเป็นภัยที่เสี่ยงต่อหายนะของประเทศชาติ เพราะท่านประธานาธิบดีของเขาจะเผลอพูดความลับทางการเมืองอะไรไปหรือเปล่า ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงภัยจากคอมมิวนิสต์เสียด้วยสิ
เรื่องนี้มีหลักฐานคือ บ้านพักของเธอหลังเธอเสียชีวิตนั้น ภายหลังถูกครอบครองโดย เวโรนิกา ฮาเมล นักแสดงสาว เธอให้ช่างซ่อมไปซ่อมหลังคา และช่างก็ได้ไปเจอขยะกองโตที่เป็นชิ้นส่วนต่างๆมากมายที่หลงเหลือจากการใช้โทรศัพท์ถูกทิ้งใต้หลังคาหลังนั้น ทิ้งทำไมเป็นจำนวนมาก?
แน่นอนสิ่งที่พวกเขากังวลเริ่มเป็นความจริง มาริลีน มอนโร นั้นรู้ทุกอะไรหลายอย่างที่หลุดปากจากท่านประธานาธิบดี อย่างไม่ตั้งใจ เธอได้จดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้ลงในสมุดบันทึกสีแดงเล่มหนึ่งเพราะเธอมีนิสัยช่างจดมานานตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว อีกทั้งเธอมักเป็นโรคหลงๆ ลืมๆ ง่ายอีกด้วย
ภายหลังมีผู้เรียกสมุดเล่มนี้ของเธอว่า "บันทึกสีแดง" มันไม่ใช้สมุดบันทึกชีวิตประจำวันของเธอเท่านั้น มันยังเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของอเมริกาอีกด้วย
แต่ภายหลังที่เธอตายมันหายสาปสูญไป และไม่มีใครพบเห็นสมุดเล่มนั้นอีกเลยและไม่รู้ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไรกันแน่
ว่ากันว่ามาริลีน มอนโรเคยพูดถึงสมุดเล่มนี้ให้กับโรเบิร์ต สแลนเซอร์ผู้กำกับฮอลลีวูดให้ฟังว่าเธอรู้แผนการของ CIA คิดร่วมมือกับกลุ่มมาเฟียในแผนลอบสังหาร คาสโตร ในคิวบา! เธอหารู้ไม่ว่าคำพูดจากปากเธอจะสร้างหายนะกับชีวิตของเธอในเวลาต่อมา! แถมยังมีคำพูดที่หลุดจากปากของน้องชายเคนนาดีอีกเรื่องการถอนกำลังออกจากปฏิบัติการ "อ่าวหมู" ที่เป็นเหตุการณ์เสียหน้าที่สุดของสหรัฐอเมริกา และมีอีก CIA ยังสืบรู้อีกว่า มาริลีน มอนโร ยังมีสายสัมพันธ์ลับกับกลุ่มมาเฟียเพื่อวางแผนแบล็กเมล์อีก! เอาล่ะสิ เมื่อรู้ขนาดนี้แล้วมีหรือพวกเขาจะอยู่เฉย…………..
+++ ข่าวลือปริศนาก่อนตายของมาริลีน มอนโร
ว่ากันว่าวันที่ มาริลีน มอนโร เสียชีวิตนั้น มีแหล่งข่าวว่า น้องชายของเคนนาดีมาที่บ้านบ้านพักของเธอเองที่ เบรนต์วูด แคลิฟอร์เนีย และเกิดมีการโต้เถียงอย่างรุนแรง มีการใช้กำลังกันด้วย บ็อบบี้ผลักเธอลงไปที่เตียง เธอเริ่มร้องไห้ เหตุเพราะเขาขอให้เลิกลาความสัมพันธ์กัน เพราะข่าวของเขากับเธอกำลังจะแดง เพราะเธอเริ่มปูดเรื่องของพี่ชายมากไปแล้ว ถ้าเรื่องนี้ข่าวหูนักข่าวล่ะก็ชีวิตสองพี่น้องพังแน่ เลิกเสียที่ได้ไหม! มีคำยืนยันจากเพื่อนบ้านว่าได้ยินเสียงทะเลาะกันจากบ้านหลังนั้น เห็นบ็อบบี้จากไปและมีเสียงตะโกณตามมาว่า "ปล่อยให้บ๊อบบี้ อยู่ตามลำพังเถอะ"และได้ยินเสียงแก้วและกระจกแตกอีก" นี้คือคำพูดสุดท้ายที่เธอมีชีวิตอยู่และเราก็ไม่รู้อะไรเลยว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น……
วันที่ 5 สิงหาคม ปีค.ศ.1962 สาวใช้ พบร่างที่ไร้วิญญาณของมาริลีน มอนโร วัย 36 ปี นอนตายอยู่บนเตียงในห้องนอน ที่ภายหลังจากการชันสูตรและแถลงการต่อสาธารณะชนว่า มาริลีน มอนโร เสียชีวิตเพราะเธอทานยานอนหลับเกินขนาด คาดว่าเธอเสียชีวิตวันที่ 4 สิงหาคม
และเมื่อตำรวจมาถึง และเข้าไปที่ตรวจเหตุนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าเธอฆ่าตัวตายจริงๆ มีขวดยาเทเรี่ยราดอยู่บนโต๊ะ กระจกและแก้วแตกกระจาย มีการทำลายข้าวของในบ้านด้วย
จากการชันสูตรก็ไม่มีอะไรผิดปกติ พบเพียงแต่กากของยาระงับประสาทกับน้ำ และเศษอาหารนิดหน่อยในกระเพาะอาหารของเธอเท่านั้น แพทย์ลงความเห็นว่าเธอกินยาเข้าไปเกินขนาด จนเธอช็อกขาดสติ ส่วนยาที่ใช้เกินขนาดคาดว่าเป็นยา "เอนนีมา"ถูกฉีดลงที่ก้นของเธอ "แอนนีมา" เป็นยาลดความอ้วนชนิดหนึ่ง ที่คนในวงการบังเทิงมักชอบใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่แพทย์ชันสูตรยังสงสัยว่ายาชนิดนี้ทำให้เธอตายจนริงหรือ เพราะก่อนหน้านั้นเธอก็ใช้ยาชนิดด้วย+++ เทปลับ
คดีนี้จบอยากเงียบในเวลาต่อมา เพราะไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร จนกระทั่ง......43 ปี หลังการตายของมาริลีน มอนโร จู่ ๆ นาย จอห์น ดับเบิ้ลยู ไมเนอร์ อัยการประจําเขตในลอสแอนเจลิส ผู้รับหน้าที่สืบสวนกรณีการเสียชีวิตของดาราสาวคนดังเมื่อ 43 ปีที่แล้ว ออกมาให้รายละเอียดเรื่องที่เขายังคงปฏิเสธเรื่อยมา เกี่ยวกับข้อสันนิษฐานที่ว่ามอนโรฆ่าตัวตาย หลักฐานที่มาอ้างถึงเป็นเทปลับที่ถูกบันทึกเป็นขั้นตอนในการบําบัดจาก ด็อกเตอร์ ราฟ กรีนสัน จิตแพทย์ประจําตัวของมอนโร ซึ่งภาพจากเทปก่อนวันเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน แสดงให้อย่างชัดเจนว่ามอนโรไม่ได้มีอาการเครียดหรือกลัดกลุ้มจนเป็นสาเหตุของการปลิดชีพตัวเอง แถมเธอยังระบุว่ากําลังมุ่งมั่นในงานแสดงกับการเตรียมรับบทในหนังที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของเชคสเปียร์สด้วยซ้ำ
"นี่เหรอที่ว่าเป็นพฤติกรรมของคนที่เข้าข่ายกําลังจะฆ่าตัวตาย ผมเห็นว่ามันเป็นการวินิจฉัยผิดพลาดแน่มันดูแล้วค่อนข้างจะเหลวไหลไปหน่อยนะ" ไมเนอร์ชี้ชัด ส่วนเทปมีเนื้อหามาริลีนมอนโรพูดกับคุณหมอราฟ กรีนสัน มอนโรเริ่มต้นด้วยการขอบคุณหมอกรีนสัน ที่ช่วยให้เธอกลับมา "ควบคุมตัวเอง ควบคุมชีวิต" ได้อีกครั้ง พร้อมทั้งขอบคุณที่เขาช่วยแก้ปมความรู้สึกทางเพศ ซึ่งเธอกล่าวติดตลกว่า ถ้าออสการ์มอบรางวัลสาขาแกล้งทำเป็นถึงจุดสุดยอด เธอคงได้ไปนานแล้ว
"คุณบอกว่ามีอุปสรรคในใจฉันขวางกั้นจากการบรรลุจุดสุดยอด...ฉันขอยกย่องคุณ ตอนนี้ ฉันถึงจุดสุดยอดมากมาย ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สอง หรือสามครั้ง ในหนึ่งครั้งของผู้ชาย"
เธอยังกล่าวถึงตัวเองอย่างภาคภูมิใจ "เมื่อวาน ฉันยืนแก้ผ้ามองตัวเองในกระจกอยู่ตั้งนาน ฉันเพิ่งทำผมใหม่ แล้วฉันเห็นอะไร หน้าอกฉันเริ่มคล้อยลงนิดนึง แต่เอวยังไม่เลว ก้นเป็นก้น และยังเจ๋งที่สุด ขา เข่า ข้อเท้า ของฉันยังได้รูปทรง เท้าฉันไม่ใหญ่เกินไป โอเคเลย มาริลีน เธอมีทุกอย่าง"
0 comments:
Post a Comment